ขอเชิญชาว ม.นเรศวร (พิษณุโลก) หรือท่านอื่นที่มีความประสงค์ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือ แม่นุช โพธิ์ศรี และ น้องน้ำ(ลูกชายเหยื่อกระสุนปริศนายิงเก็บแต้ม)

ข้อมูลจาก Mornor.com

ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือ แม่นุช โพธิ์ศรี และ น้องน้ำ(ลูกชายเหยื่อกระสุนปริศนาที่ถูกยิงเก้บแต้ม) จนกลายเป็นอัมพาต ตอนนี้แม่นุชขาดที่อยู่อาศัย บ้านที่เช่าอยู่ก็ค้างค่าเช่าเป็นจำนวนมาก ขณะนี้มีผู้บริจาคที่ดิน แต่ขาดทุนทรัพย์ในการสร้างบ้าน จึงขออนุโมทนาบุญไปยังเพื่อนพ้องน้องพี่ ขอให้ผลบุญจนส่งเสริมให้ท่านเจริญรุ่งเรือง

เรื่องจาก : หนังสือพิมร่มเสลา
แม่นุชแม่ใจเพชรผู้เฝ้ารอปาฎิหาริย์
วันแม่ที่ผ่านมาคงเป็นวันพิเศษที่หลายๆคนมอบสิ่งดีๆให้กับคุณแม่ เวลายาวนาน9เดือนที่แม่อุ้มท้องเรามา กี่วันกี่เดือนกี่ปี ที่แม่ฟูมฟักจนเราเติบโตเป็นเราเช่นทุกวันนี้ คำว่าแม่จึงเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทุกคน
หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวจากรายการทีวี หรือจากหนังสือพิมพ์ ในกรณีที่มีการใช้ปืนยิงผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต เพื่อเป็นการเก็บแต้มและแข่งขันกันของกลุ่มวัยรุ่นกวนเมือง หลายคนที่ตกเป็นเยื่อ หลายครอบครัวที่ต้องสูญเสีย และเหยื่อหนึ่งในนั้นก็รวมถึงผู้หญิงตัวเล็ก แต่หัวใจยิ่งใหญ่อย่างแม่นุช แม่ผู้ต่อสู้เพื่อลูกชาย เหยื่อกระสุนปืนปริศนา

Copy of IMG_8048.jpgCopy of IMG_8056.jpg


นางนุช โพธิ์ศรี หรือแม่นุช เล่าให้ฟังว่า มีบุตรชายจำนวน 2 คน คือ นายวีรจิต ศรีรักษ์ หรือน้องน้ำลูกชายคนโต อายุ20ปี และ ด.ช.ภัทรพล แม่สองเจริญศรี หรือน้องบาซู อายุ 10 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.4 โรงเรียนวัดจันทร์ตะวันออก แม่นุชเลี้ยงลูกทั้งสองมาโดยลำพังเพราะได้หย่าร้างกับสามีมาได้ 6 ปีแล้ว จากการต้องเลี้ยงลูกทั้งสองโดยลำพัง ทำให้รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย น้องน้ำจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่จบชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อหาค่าใช้จ่ายช่วยผู้เป็นแม่อีกแรงหนึ่ง โดยได้ทำงานเป็นช่างทาสีจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วน้องน้ำโดนโกงค่าแรงถึง 7000 บาท ด้วยความท้อแท้และเหนื่อยหน่าย จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน และได้เข้าทำงานเป็นทหารยาม อยู่ภายในกองบิน 46 ทำงานอยู่ได้ประมาณ 20 วันเศษ จนเมื่อกลางดึกวันที่ 25 มิ.ย.2551 น้องน้ำขับรถจักรยานยนต์กลับจากทำงาน ขับมาถึงบริเวณโรงเรียนอาชีวศึกษา ถ.วังจันทน์ ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก ได้ถูกวัยรุ่น ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบด้านหลัง ก่อนใช้อาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณท้ายทอย
ผลจากการถูกยิงโดยปืนลูกซองสั้นในระยะประชิด ทำให้กระสุนฝังในตัวน้องน้ำถึง18 เม็ดโดยแพทย์ระบุว่ากระสุนตัดเส้นประสาทไขสันหลังและกระสุนได้ไหลลงไปใน กระดูกสันหลังจนทำให้พิการเป็นอัมพาต กระสุนทั้งหมดถูกผ่าออกเพียงเม็ดเดียว เนื่องจากแพทย์วินิจฉัยว่า หากผ่าตัดอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต จึงไม่เสี่ยงผ่าเอากระสุนออก

เมื่อรู้ว่าลูกชายต้องเป็นอัมพาตตลอดชีวิต หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแตกสลาย เป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะแบกรับไหว เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ยากยิ่งกว่าที่เธอต้องทำคือ จะบอกลูกยังไงให้ลูกรับกับสภาพที่เกิดขึ้น แม่นุชเล่าให้ฟังว่าหลังจากคืนนั้นก็บอกลูกทันทีว่า หนูต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต หนูต้องเข้มแข็ง หนูต้องรับสภาพให้ได้ และเป็นสิ่งที่ยากอีกเช่นกันที่เด็กหนุ่มอายุยังน้อยอย่างน้องน้ำจะยอมรับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างกะทันหันได้ น้องน้ำไม่ยอมกินข้าวกินปลาอยู่ร่วมเดือนจนร่างกายผ่ายผอม แต่สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เพราะเขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อผู้เป็นแม่ยังยืนสู้อยู่เคียงข้างเขาทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบ น้ำตา

5 เดือนที่น้องน้ำ ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล กับความคืบหน้าของการติดตามคนร้ายที่ ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าเก็บแต้มของกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง

Copy of IMG_8062.jpghttp://www.mornor.com/2009/forum/attachments/month_0909/20090903_d5461f196bfa7a85efffYrWxW1k7ikMd.jpg


ไร้ วี่แววของคนร้าย คดีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด แม่นุชบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ต้องอยู่คอยดูแลลูกตลอดจนไม่ได้ทำงาน เงินทองก็หมดไป ทาง รพ. สงสาร จึงไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ต่อมาหลังจากที่ออกจาก รพ. มาอยู่ที่บ้าน แม่ก็ต้องดูแลน้องน้ำ โดยมีลูกชายน้องบาซูช่วยเหลือบ้างเพราะต้องไปโรงเรียน บางวันถ้าแม่ไม่สบายเพราะมีโรคประจำตัว ลูกชายคนเล็กก็ต้องหยุดเรียนเพื่อดูแลพี่ชาย

หลังออกจากโรงพยาบาล ก็กลับมาอาศัยที่บ้านเช่ามีครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านถามว่า เมื่อไหร่จะย้ายออกจากบ้าน เค้าเห็นสภาพน้องน้ำแล้วเค้ากินข้าวไม่ลง เนื่องจากต้องนอนนิ่งๆอยู่บนที่ นอนตลอดเวลา จึงทำให้เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลกดทับ ในบางครั้งทั้งสามขัดสน เงินทอง ไม่มีเงินซื้ออาหาร ต้องอดข้าวนานเป็นสัปดาห์ โดยดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียว แม่นุชจึงต้องไปหางานทำเพราะขาดรายได้เป็นเวลานานทำงานในร้านรับซื้อของเก่า โดยต้องออกไปทำงานตอน8โมงเช้า ตอนเที่ยงก็แวะมาป้อนข้าวและดูแลลูก ช่วงบ่ายกลับเข้าทำงาน และเลิกงานประมาณหนึ่งทุ่ม วันหนึ่งมีงูเหลือมขึ้นบ้าน น้องน้ำได้แต่นอนตัวแข็ง ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ต้องปล่อยให้งูเหลือมตัวใหญ่ๆ เลื้อยผ่านตัวไปมา และเลียแผลไปเรื่อยๆ จนแม่กลับมาเห็น และพาไป โรงพยาบาล ตอนนั้นแผลติดเชื้อจากงู แต่หมอก็ไม่รู้ว่าเป็นเชื้ออะไร ค่าใช้จ่ายในการรักษาในครั้งนั้นสูงถึง 17,000 บาท ซึ่งมีผู้ไม่ประสงค์จะออกนามเป็นผู้จ่ายค่ารักษาให้ ซึ่งในครั้งนั้นแม่นุชเชื่อว่าคนที่ช่วยเหลือเธอน่าจะเป็นหมออุ (คุณอุทุมพร มาลัยทอง พยาบาลวิชาชีพหัวหน้าหอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย) ซึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตลอดเวลาที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล

หลังจากออกจากโรงพยาบาลรอบที่สอง สามแม่ลูกก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ เนื่องจากค้างค่าเช่าบ้านหลายเดือน จึงต้องย้ายออกจากบ้านเช่า สามชีวิตต้องเคว้งคว้างไร้ที่อยู่อาศัย แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อคุณประนอม ทิวะพันธุ์ นายกอบต.วัดจันทร์ คุณนิรันดร์ คล้ายแก้ว รองนายก อบต. ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยช่วยเรื่องที่พักอาศัยและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันบางส่วน

หลังจากย้ายเข้ามาอยูบ้านหลังใหม่แม่นุชจึงได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นงานที่ สามารถนำกลับมาทำที่บ้านได้เนื่องจากจะได้มีเวลาดูแลน้องน้ำอย่างเต็มที่ รายได้หลักของครอบครัวจึงเป็นรายได้จากการรับทำดอกไม้จันท์ที่สามารถทำที่ บ้านได้ เดือนละประมาณ 400 บาท และรายได้สำหรับคนพิการ เดือนละ 500 บาท รวมแล้วก็แค่ 900 บาท บางครั้งก็มีผู้มีจิตเมตตาส่งเงินมาช่วยเหลือมาบ้าง แต่ก็ไม่ทุกเดือน

กว่าหนึ่งปีแล้วกับการต่อสู้กับความยากลำบาก แม่นุชบอกว่าไม่เคยแค้นคนที่ทำกับน้องน้ำเพียงแต่อยากให้คนกระทำผิดออก มารับผิดชอบหรือสำนึกในการกระทำของเขาบ้าง อยากถามเขาว่าทำไมต้องมาทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ด้วย อยากถามแม่ของคนร้ายว่าถ้าหากเป็นลูกของตัวเองถูกทำร้ายบ้างจะรู้สึกอย่างไร

การต่อสู้กับความจนและขัดสนที่กินเวลาข้ามปี แม้จะลำบากเพียงใดผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยปริปากบ่นให้ลูกได้ยินแม้แต่คำเดียว กลับกันเธอกลับเข้มแข็งเพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นเป็นกำลังใจที่ดีแก่ลูก แม่นุชยอมรับว่าเธอเคยท้อถึงขั้นที่คิดกินยาฆ่าตัวตาย แต่มีชาวบ้านในละแวกนั้นมาช่วยไว้ทัน แต่ทุกวันนี้แม้จะท้อแค่ไหน แต่แม่นุชก็พร้อมจะสู้เคียงข้างลูก แม่นุชบอกว่าหากวันใดเธอหมดลมหายใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกสองคนจะดำเนิน ชีวิตต่อไปได้อย่างไร เธอได้แต่หวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับเธอและลูกสักครั้ง วันที่ลูกหายเป็นปกติจะเป็นวันที่เธอยิ้มได้อย่างมีความสุขที่สุด

ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถนำมาเปรียบกับพระคุณของแม่ที่มีต่อลูกได้ แต่หากจะให้เปรียบแม่นุช จิตใจของเธอคงเปรียบได้เหมือนเพชร ที่แข่งแกร่งที่สุด สวยงามที่สุด และมีคุณค่าในจิตใจของลูกมากที่สุด คำว่าปาฏิหาริย์อาจจะยาวนานเกินกว่าที่บางคนรอคอย แต่สำหรับแม่นุชไม่ว่าจะเนิ่นนานเพียงใด เธอยังคงรอ รอตราบเท่าที่ลมหายใจของเธอยังคงมีอยู่ ความยากลำบากอาจกัดกร่อนจิตใจของแม่นุชให้รู้สึกท้อในบางเวลา แต่ในความลำบากและความท้อแท้นั้น กลับทำให้ปรากฎชัดว่าความรักที่เธอมีต่อลูกชายทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่เพียง ใด

.........หวังว่าความรักที่บริสุทธิ์ที่แม่นุชมีต่อลูกจะทำให้ ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง....................

สำหรับท่านที่ต้องการส่งธารน้ำใจไปสู่ครอบครัวของแม่นุช
สามารถบริจาคโดยโอนเงิน ไปยังบัญชี

คุณนุช โพธิ์ศรี
ธนาคารทหารไทย สาขาโคกมะตูม เลขบัญชี 496- 2-15559-6
เบอร์โทรศัพท์ 086-9372598

หรือ บริจาคผ่านหนังสือพิมพ์ร่มเสลา มหาวิทยาลัยนเรศวร
E-mail: c70_kitty@hotmail.com
Hi5 : rom-sa-lao.hi5.com
หรือติดต่อเบอร์โทร 089-8902982

Manager Online - สุขภาพ

  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger .

TOPO