ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ วันนี้ “ก๋วยเตี๋ยว” คืออาหารจานโปรดของคนมากมาย เพราะทั้งกินง่าย ปรุงรสได้ดั่งใจ ราคาไม่แพง พื้นฐานทางโภชนาการของก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามนั้นถือว่าสอบผ่าน เพราะมีครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งแป้ง โปรตีน และผักประกอบ ยิ่งเป็นชามที่ใส่ถั่วงอก ตำลึง โหระพา ผักกาด โรยด้วย ต้นหอม ผักชี ยิ่งวิเศษ ยิ่งไปกว่านันยังเป็นอาหารที่ปรุงร้อนๆ ทีละชาม จึงช่วยลดควมเสี่ยงต่อเชื้อโรคได้มาก
ฉะนั้น คนรักก๋วยเตี๋ยวจึงจัดว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง เพราะอาหารชามนี้ให้ทั้งความโอชา และอนามัยครบในชามเดียว
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
แต่ช้าก่อน... ไม่ช้าไม่นานมานี้มีข่าวเตือนภัยคอก๋วยเตี๋ยวจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ที่ลงมือทำวิจัยชิ้นสำคัญเรื่อง “ความปลอดภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน” และพบเงื่อนปมเกี่ยวกับปัญหาสารปนเปื้อนในเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าอย่างจัง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคควรรู้ และให้ความสนใจ เพื่อป้องกันภัยแก่ตนเองยามสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่ละชามมาชิม
สารกันเสียในเส้นก๋วยเตี๋ยว
ภก.วรวิทย์ กิตติวงสุนทร ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี ให้ข้อมูลว่า ก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็น “เส้นสด” ที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงเติม “สารกันบูด” หรือ “สารกันเสีย” ลงไปเพื่อช่วยยืดระยะเวลาการจำหน่าย โดยสารกันบูดที่นิยมมากคือ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ซึ่งเป็นสารที่หากร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง
คณะ กรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ผลจากการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวใน 4 จังหวัดภาคอีสาน คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร และศรีสะเกษ พบผลที่น่าตระหนกเพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกประเภททีเก็บมาตรวจวิเคราะห์ล้วนแต่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานถึง 4 เท่าตัวขึ้นไป ดังนี้
“เส้น เล็ก” พบปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุด 17,250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
“เส้นหมี่” 7,825 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
“เส้นก๋วยจั๊บ” เส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
เส้นเล็ก 6, 305 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
“บะหมี่โซบะ” พบ 4,593 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
“เส้นใหญ่” พบ 4,230 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
“จาก ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิมที่คิดว่า เส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งน่าจะมีวัตถุกันเสียน้อย และน่าจะพบในเส้นใหญ่ซึ่งมีความชื่นสูงนั้น แต่ข้อเท็จจริงเส้นใหญ่กลับเป็นรองเส้นเล็ก แต่ที่น่ายินดีคือ เส้นบะหมี่เหลือง และวุ้นเส้น เป็นเส้นที่ไม่พบปริมาณสารกันบูดเกินมาตรฐานเลย เพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นรอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสียอย่างหนัก” ภก.วรวิทย์ ให้รายละเอียด
แม้การตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้จะทำเฉพาะเขตภาคอีสาน แต่คาดว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งประเทศน่าจะมีปัญหาไม่ต่างกัน
“เมื่อ คิดค่าเฉลี่ยน้ำหนักผู้บิโภคคนไทย คือ 50 กิโลกรัม ดังนั้นปริมาณสูงสุดที่ควรบริโภคคือไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งการกินก๋วยเตี๋ยว 1 มื้อ จะมีเส้นประมาณ 50-100 กรัม เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับกรดเบนโซอิกอีกประมาณ 226-451 มิลลิกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และเมื่อรวมกับปริมาณวัตถุกันเสียในอาหารอื่นๆ ที่กินในแต่ละวัน เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้รับสารนี้จำนวนมาก” ภก.วรวิทย์ สรุปข้อมูล
“คอก๋วยเตี๋ยว” ต้องใส่ใจป้องกัน
เมื่อพบข้อมูลอันน่าตกใจนี้ขึ้น คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะที่กำกับดูแลความปลอดภัยทางด้านอาหารและยาได้สั่งการให้นายแพทย์สำนัก งานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เร่งเก็บตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยว ตรวจหาสารกันบูด และมีแนวโน้มที่จะกำหนดให้โรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวต้องพัฒนาให้ได้มาตรฐาน เกณฑ์การผลิตที่ดี (จีเอ็มพี) คำนึงถึงความสะอาดปลอดภัยในกระบวนการผลิต
นอกจากนี้สารกันบูดในก๋วยเตี๋ยวไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อีกทั้งรสชาติของเส้นที่ใส่สารกันบูดกับเส้นที่ไม่ใส่ไม่มีความแตกต่างกัน และการลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยน้ำเดือดก็ไม่สามารถทำลายสารรกันบูดได้ เพราะผสมเป็นเนื้อเดียวกับเส้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม อย.มีข้อแนะนำให้สังเกตเมื่อกินก๋วยเตี๋ยวว่าที่กินนั้นมีสารกันบูดหรือไม่ โดย...
1.ถ้า ใส่สารเคมีเส้นก๋วยเตี๋ยวจะ “เหนียวหนึบ” กัดไม่ค่อยขาดจากกัน อีกทั้งเส้นที่ใส่สารกันบูดเมื่อนำลวกในหม้อ สังเกตว่าน้ำที่ลวกจะ “ขุ่น”
2.เส้น ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ปรือเส้นสดที่ใส่สารกันบูด ทิ้งไว้ 2-3 วัน สีสันจะคงเดิม แต่หากมาดมกลิ่นจะ “เหม็นเปรี้ยว” ผิดกับเส้นที่ไม่ใส่สารกันบูดหากทิ้งไว้เพียงคืนเดียวเส้นก็ขึ้นราและบูด
รู้อย่างนี้แล้วเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวครั้งต่อไป ก่อนกินก็อย่าลืมสังเกตด้วย จะได้อยู่กินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยไปนานๆ