tag:blogger.com,1999:blog-38436601229696429712024-03-05T20:35:37.953-08:00JudFun - ทุกเรื่องราว และความรู้สำหรับคนจัดฟันJudFun:ทุกเรื่องราวในวงการจัดฟันDamon คลินิกจัดฟัน ยางแยกฟัน retainner การสบจัดฟัน ลวดจัดฟัน ดัดฟัน ปวดฟัน หมอฟัน ทันตแพทย์ ทำฟัน รูปหน้า ฟันปลอม ค่าจัดฟัน ฟัน เด็ก ค่าทำฟัน ลิ้น กับ แปรงสีฟัน วิธีแปรงฟัน ยาสีฟัน ฟันผุ ฟลูออไรด์ น้ำยาบ้วนปาก เหงือกอักเสบ แฟชั่น แบบใส หมอจุฬา ค่า ทำฟัน รักษา คลินิค คลีนิก คลีนิค othodontic dental implants price รากฟัน ทำรากเทียม เลเซอร์ ฟอก สี ฟัน วิธี การ ฟอก สี ฟัน สุขภาพฟัน เกมถอนฟัน ลิ้น ถอน กราม Lingual braces Invisalign บวม ร่น อักเสบUnknownnoreply@blogger.comBlogger209125tag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-60859736056958224872010-03-01T10:50:00.000-08:002013-10-30T07:45:03.319-07:00ตกขาวมีกลิ่น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ตกขาวมีอาการคัน ควรทำอย่างไรดี?<div style="text-align: justify;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPV-Wv3-2_UBTHcOaNP-IvciJbfRm4wJv8oKTWGHnOsZ7C2oFjlWo1iIxUmPbaXLEPICO-j0YXms_eXSIKJxhy4WaXpG5HZYDMX-iMTgOAmzowPfXWI30hp79fBJFV3fjkmJRW4bgHkv6/s1600/whitefall.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMPV-Wv3-2_UBTHcOaNP-IvciJbfRm4wJv8oKTWGHnOsZ7C2oFjlWo1iIxUmPbaXLEPICO-j0YXms_eXSIKJxhy4WaXpG5HZYDMX-iMTgOAmzowPfXWI30hp79fBJFV3fjkmJRW4bgHkv6/s1600/whitefall.jpg" /></a></div>
<br />
<b><a href="http://judfun.blogspot.com/2010/03/blog-post.html">ตกขาวมีกลิ่นเสี่ยง</a> “เชื้อราในช่องคลอด” ควรทำอย่างไรดี? ตกขาว มีกลิ่น ช่องคลอดไม่กระชับ</b></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<div style="text-align: justify;">
นี้ เป็นปัญหาเรื้อรังมานานหลายปีที่เกิดขึ้จริงกับดิฉัน ที่เป็นๆ หายๆ สร้างความรำคาญมาจนสุดท้ายต้องทะเลาะกับแฟนเพราะไม่เข้าใจกัน ต่างคนก็คิดว่า อีกคนไปทำอะไรมา ถึงเกิดปัญหานี้ขึ้นแต่ ต่างฝ่ายก็ไม่กล้าที่จะถามถึงสิ่งที่มันคาใจเพราะเราก็มีความรักให้กัน และอยู่ด้วยกันทุกวันแล้ว <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/03/blog-post.html">ตกขาวมีกลิ่น</a> มันมาได้ยังไง?</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เชื้อ ราในช่องคลอด ไม่ใช่โรคร้ายแรง เพียงแต่ทำให้มีอาการคัน ทำให้รำคาญและทำลายบุคลิกภาพเท่านั้น ไม่มีความรุนแรงจนทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นอันตรายต่อรังไข่ โพรงมดลูก หรืออุ้งเชิงกรานได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เชื้อราในช่องคลอดเป็นอาการที่พบได้บ่อยๆ ในคนที่มาตรวจภายใน จะพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 10-30% ส่วนผู้หญิงปกติพบได้ประมาณ 10% และยังพบว่าคนที่ไม่มีอาการใดๆ เมื่อตรวจภายในบางรายก็พบว่ามีเชื้อราในช่องคลอดแอบแฝงอยู่ มีทั้ง<a href="http://judfun.blogspot.com/2009/10/blog-post_3452.html">เชื้อรา</a>ที่ไม่แสดงอาการคือเมื่อตรวจจะพบว่าภายในช่องคลอดมีเชื้อรา ส่วนใหญ่ 80-90% เป็นสายพันธุ์ Candida Albicans และแบบที่แสดงอาการอย่างชัดเจน จนทำให้ต้องไปพบแพทย์ในที่สุด</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อาการ ที่แสดงออก เมื่อเกิดเชื้อราในช่องคลอดขึ้น คือ <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/03/blog-post.html">ตกขาวมีกลิ่นและอาการคัน</a> โดยตกขาวมีกลิ่นที่เกิดจากเชื้อราจะต่างจากตกขาวที่เกิดจากธรรมชาติ โดยจะมีสีขาวหรือเหลืองและเป็นก้อนคล้ายนมบูด หรือแป้ง โดยช่องคลอดจะเกิดการระคายเคืองจนทำให้คันยิบๆ จนแทบทนไม่ได้ คนที่มีอาการรุนแรงมากจะคันมาถึงบริเวณขาหนีบและมีอาการแสบ แดง และระคายเคืองอย่างรุนแรงได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ข้อ ที่ผู้หญิงพึงต้องสังเกตอีกอย่างคือ อาการตกขาวมีกลิ่น หากเกิดขึ้นแบบผิดปกติ เช่น มีสีที่แปลกไป เหลือง เขียว เป็นฟอง หรือมีกลิ่นผิดปกติ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น มีเลือดออก มีอาการปวดท้องแบบผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ เพราะอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือสาเหตุอื่นที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
สาเหตุ<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/03/blog-post.html">ตกขาวมีกลิ่น</a> อาจมาจากการติดเชื้อรา เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งชุดชั้นในที่มีเชื้อรา เกิดจากการตากในที่อับชื้นหรือไม่โดนแสงแดด โดยเฉพาะผ้าไนลอนจะสามารถเกิดเชื้อราได้ง่าย ควรเลือกชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายเพราะระบายความอับชื้นได้ดีกว่า การใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปมากๆ หรือการใส่สเตย์เพื่อกระชับรูปร่าง ทำให้เกิดความอับชื้นในจุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะคนที่มีเหงื่อเยอะและผู้หญิงเจ้าเนื้อควรต้องระวังเป็นพิเศษ รวมทั้งการใส่แผ่นอนามัยโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนระหว่างวันหรือใส่เป็นเวลานาน ในกรณีที่มีน้ำเมือกธรรมชาติเยอะ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อีก สาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอดควบคู่กับความอับชื้น คือ ภาวะร่างกายที่อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เช่น กรณีเจ็บป่วย ทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานๆ หรือทานยากดภูมิต้านทาน เช่น สเตียรอยด์ หรือกรณีมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต หรือเบาหวาน ซึ่งควบคุมได้ไม่ดี เป็นต้น</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เมื่อ เป็นเชื้อราในช่องคลอดแล้ว สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีบางส่วนประมาณ 5-8% กลับมาเป็นซ้ำได้อาจเพราะยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความอับ ชื้น หรือมีภาวะที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ใน ช่วงฤดูฝนที่ยังไม่จางแบบนี้ โรคผิวหนังที่เกิดจากความอับชื้น เชื้อรา เป็นสิ่งที่พบบ่อย ไม่ว่าจะกลาก เกลื้อน เชื้อราในร่มผ้า แม้กระทั่งช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา เพราะฉะนั้นการดูแลความสะอาดและอนามัยส่วนบุคคลจึงจำเป็น ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำทำความสะอาด ต้องเช็ดให้แห้ง ช่วงที่มีประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการแต่งตัวฟิต รัด กระชับ ควรแต่งตัวเน้นให้โปร่ง โล่ง สบาย เพื่อลดความอับชื้น อันจะนำไปสู่ปัญหาช่องคลอดอักเสบได้<br />
</div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: xx-small;"><b>TAG : </b><span class="meta_tags"><a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%94-%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%ad/" rel="tag">คันช่องคลอด มีมาดขาวเยอะ</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7-%e0%b8%84%e0%b8%b1%e0%b8%99-%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99/" rel="tag">ตกขาว คัน มีกลิ่น</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0-%e0%b8%84%e0%b8%b1/" rel="tag">ตกขาวมีกลิ่นเหม็นและ คันช่องคลอด</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a7-%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99-%e0%b8%84/" rel="tag">ตกขาวมีสีเขียว มีกลิ่น คัน</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%93%e0%b8%b0%e0%b9%83%e0%b8%94-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b9%84/" rel="tag">ตกขาวลักษณะใด กลิ่นแบบไหน ผิดปกติ</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%99-%e0%b8%a1/" rel="tag">ตกขาวสีเหลืองเป็นก้อน มีกลิ่นเหม็น คัน ทำไงถึงจะหาย</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%a7/" rel="tag">ตกขาวอย่างนี้ซิน่ากลัว</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%87/" rel="tag">ตกขาวเรื้อรัง</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%94%e0%b8%b9%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99/" rel="tag">มีระดูขาว แล้วมีกลิ่น</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%b0-%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%84%e0%b8%b1/" rel="tag">มีเมนขาวเยอะ ตกขาวและคันคะ</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7/" rel="tag">วิธีแก้รักษาอาการตกขาว</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%95%e0%b8%b8%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99/" rel="tag">สาเหตุของตกขาวมีกลิ่น</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad/" rel="tag">อาการตกขาวคือ</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%87%e0%b8%99/" rel="tag">อาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น</a>, <a href="http://healthylive.genusupplier.com/tag/%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%ab%e0%b8%b2-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a7-%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a5/" rel="tag">แก้ปัญหา อาการตกขาว มีกลิ่น</a></span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: xx-small;"><br />
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง</span></div>
Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-88962378954791737432010-02-27T21:53:00.000-08:002010-02-27T21:56:12.169-08:00ความรุนแรงของโรคทาลัสซีเมีย - โรค ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)<div style="text-align: justify;"><b>โรคทาลัสซีเมีย (Thalassemia)</b> เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดพลาดของโครโมโซม</div><div style="text-align: justify;">ทำให้ปริมาณ การสร้างโกลบินลด น้อยลง หรือไม่มีการสร้างเลย แต่ความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับ</div><div style="text-align: justify;">ลักษณะของความ ผิดปกติ ของยีนบน โครโมโซม โดยปกติส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายคน คือ ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนสีแดง องค์ประกอบ ของฮีโมโกลบินประกอบด้วยกรดอะมิโนเรียงตัวกัน 4 เส้น และ 4 เส้นนี้ประกอบด้วย กรดอะมิโนเส้นแอลฟา 2 เส้น และบีตา 2 เส้น เมื่อเกิดความผิดปกติในการสร้างเส้นกรดอะมิโนดังกล่าว ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย และมีอายุ น้อยกว่าปกติ (ปกติเม็ดเลือดแดงจะมีอายุประมาณ 120 วัน</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">สำหรับผู้ป่วยเป็น<b>โรคธารัสซีเมีย</b> เม็ดเลือดจะมีอายุ ประมาณ50-60 วัน) ปริมาณเม็ดเลือดแดงที่เหลือไม่สามารถนำเอา ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้นลักษณะของผู้ที่ป่วยโรคทาลัสซีเมีย มีอาการจะมีตัวซีดเหลือง ถ้าเป็นชนิดรุนแรงจะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตผิดปกติ รวมไปถึงชนิดที่รุนแรงมากที่สุดอาจจะเสียชีวิตได้ และภาวะแทรกซ้อนภายหลังจากเม็ดเลือดแดงแตก จะทำให้ ผู้ป่วยมีปริมาณธาตุเหล็กมากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะต่าง ๆ จนเป็นอันตรายภายหลัง นอกจากนี้ ผู้ป่วย<b>โรคทาลัสซีเมีย</b>ชนิดมี อาการมักจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ (แต่สมองจะพัฒนาไปตามปกติ ไม่มี ปัญหาทางสมอง หรือปัญญาอ่อน)</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b>จากความปกติของโกลบินทำให้สามารถแบ่งแยกประเภทของโรคทาลัสซีเมียได้ 3 ประเภทหลัก ๆ ตามความรุนแรงของโรคทาลัสซีเมีย คือ</b></div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">1. <b>แอลฟาทาลัสซีเมีย</b> เป็นโรคธารัสซีเมียที่เกิดจากการสร้างสร้างโกลบินสายแอลฟา ลดน้อยลง หรือไม่มีการสร้างเลย (ชนิดนี้พบมากที่สุดในประเทศไทย)</div><div style="text-align: justify;">2. <b>เบตาทาลัสซีเมีย</b> เป็นโรคธารัสซีเมียที่เกิดจากการสร้างสร้างโกลบินสายบีตา ลดน้อยลง หรือไม่มีการสร้างเลย</div><div style="text-align: justify;">3. <b>แอลฟา-เบตาทาลัสซีเมีย</b> เกิดจากความบกพร่องของเส้นกรดอะมีโนแอลฟาและเบตา</div><div style="text-align: justify;"><b><br />
</b></div><div style="text-align: justify;"><b>สิ่งตรวจพบในผู้ป่วยโรคทาลัสซีเมีย</b></div><div style="text-align: justify;">ผู้ป่วยจะมีอาการซีดเหลือง หน้าแปลก โดยมีสันจมูกแบะ (จมูกแบน) หน้า</div><div style="text-align: justify;">ผากโหนกชัน กระดูกแก้มและขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันยื่นเขยิน ลูกตาอยู่</div><div style="text-align: justify;">ห่างกันมากกว่าคนปกติ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า หน้ามงโกลอยด์หรือ หน้า</div><div style="text-align: justify;">ทาลัสซีเมีย ผู้ป่วยมักจะมีม้ามโตมาก บางรายอาจโตถึงสะดือ (คลำได้ก้อน</div><div style="text-align: justify;">แข็งที่ใต้ชายโครงซ้าย) อาการม้ามโต ชาวบ้านอาจเรียกว่า ป้าง หรือ</div><div style="text-align: justify;">อุปถัมภ์ม้ามย้อย (จุกกระผามม้ามย้อย)</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b>ความรุนแรงของโรคทาลัสซีเมีย</b></div><div style="text-align: justify;"><b> </b> </div><div style="text-align: justify;">โรคธารัสซีเมียจะมีอาการรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ ความผิดปกติของยีนบนโครโมโซม สามารถจำแนก ความรุนแรงได้ 3 ระดับ คือ</div><div style="text-align: justify;"><b><br />
</b></div><div style="text-align: justify;"><b>1. ไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย (Thalassemia Trait)</b></div><div style="text-align: justify;">โรคทาลัสซีเมียชนิดนี้จะเกิดจากความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพียงข้างเดียว เรียกว่า เฮเทโรซัยกัส ทำให้ไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย</div><div style="text-align: justify;"><b>2. แสดงอาการปานกลาง (Thalassimia intermedia)</b></div><div style="text-align: justify;">โรคทาลัสซีเมียชนิดนี้ มีอาการทางโลหิตจาง แต่ไม่มากนัก ร่างกายจะเจริญเติบโต ตามปกติ ตับและม้ามโตขึ้น มักจะแสดงอาการ ซีดเหลือง ตาเหลือง เมื่อมีไข้ หรือภาวะที่ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อ ซึ่งจะส่งผลให้เม็ด เลือดแดงแตกมาก</div><div style="text-align: justify;"><b>3. แสดงอาการรุนแรง (Thalassemia Disease)</b></div><div style="text-align: justify;">โรคทาลัสซีเมียชนิดนี้จะแสดงอาการรุนแรงตั้งแต่เด็กและมีการเจริญเติบโตช้า มีการสร้างเม็ดเลือดมากกว่า ปกติเพื่อทดแทนเม็ดเลือดแดงที่ถูกทำลายโดยตับและม้าม ทำให้กระดูกขยายตัว ใบหน้าจะเปลี่ยนแปลงอย่าง เห็นได้ชัด มีลักษณะ กระดูกแก้มสูงนูนออกมามาก คิ้วห่างออกจากกัน ที่เรียกว่า mongoloid face ผู้ป่วย ชนิดนี้จะต้องรับเลือดเป็นประจำ ทำให้เกิดภาวะเหล็กเกิน ก่อให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ถ้าสะสมภายที่อวัยวะ ภายในเช่น ตับ เป็นจำนวนมากจะทำให้ตับแข็ง</div><div style="text-align: justify;"><b><br />
</b></div><b>การรักษา ข้อแนะนำ ของโรคทาลัสซีเมีย - โรค ธาลัสซีเมีย </b><br />
1. ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารพวกโปรตีน และอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง (เช่น ผัก<br />
ใบเขียว เนื้อสัตว์) มาก ๆ เพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง<br />
2. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่า โรคนี้เป็นโรคกรรมพันธุ์ติดตัวไปตลอด<br />
ชีวิต ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องอาจ<br />
มีชีวิตยืนยาวได้ ควรรักษาที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านเป็นประจำไม่ควร<br />
กระเสือกกระสนย้ายหมอ ย้ายโรงพยาบาล ทำให้หมดเปลืองเงินทองโดย<br />
ใช่เหตุ<br />
3. แนะนำให้พ่อแม่ที่มีลูกเป็นทาลัสซีเมียคุมกำเนิด หรือผู้ที่มีประวัติว่ามี<br />
ญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ไม่ควรแต่งงานกัน หรือจำเป็นต้องแต่งงานก็ไม่ควรมี<br />
บุตร เพราะลูกที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้ถึง 1 ใน 4 (ร้อยละ 25) ทำให้เกิด<br />
ภาวะยุ่งยากในภายหลังได้ ถ้าหากมีการตั้งครรภ์ ในปัจจุบันมีวิธีการเจาะ<br />
เอาน้ำคร่ำมาตรวจดูว่าทารกเป็นโรคนี้หรือไม่ ดังที่เรียกว่า "การวินิจฉัย<br />
ก่อนคลอด" (Prenatal diagnosis) ถ้าพบว่าผิดปกติ อาจพิจารณาทำแท้ง<br />
4. ในปัจจุบันสามารถใช้วิธีการพิเศษ เพื่อตรวจดูว่ามีเชื้อกรรมพันธุ์ของโรค<br />
นี้หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ก่อนแต่งงานควรตรวจดูให้แน่นอน<br />
<span style="font-size: x-small;"><b>TAG :</b> <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/thalassemia.html">ความรุนแรงของโรคทาลัสซีเมีย</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/thalassemia.html">โรค ธาลัสซีเมีย</a></span><br />
<br />
<span style="font-size: xx-small;"><b>ที่มา :</b> wikipedia , thailabonline.com , share.psu.ac.th</span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-60734612132781862372010-02-16T01:45:00.000-08:002010-02-16T01:48:58.373-08:00เทคนิค พีซีอาร์ (PCR) มี ประโยชน์อย่างไรบ้าง?<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html"><b>เทคนิคพีซีอาร์ (PCR)</b></a> ถือเป็นเทคนิคสำคัญในงานวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพ ทั้งงานพื้นฐานในห้องปฏิบัติการ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เช่น ด้านการแพทย์ และด้านการเกษตร<br />
<br />
<b>ตัวอย่าง ประโยชน์ด้านการแพทย์ ของ<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">เทคนิค พีซีอาร์ (PCR)</a></b><br />
<br />
ใช้ ในการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ทั้งโรคติดเชื้อและโรคจากพันธุกรรม ได้แก่ การตรวจหาเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค เช่น เอดส์, วัณโรค, มาลาเรีย แม้มีเชื้อโรคในตัวอย่างที่ส่งมาตรวจจำนวนน้อย ทำให้การ วินิจฉัยโรคเพื่อป้องกันและรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และใช้เวลาน้อยลง<br />
<br />
ปัจจุบันมีการ พัฒนา<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">เทคนิคพีซีอาร์</a>ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยากต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน และนอกจากยืนยันว่าเป็นโรค นั้นๆ ด้วยความไวและความจำเพาะสูงแล้ว ยังบอกความรุนแรงของโรคได้ด้วย<br />
<br />
ใน ต่างประเทศ นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคนิคพีซีอาร์เพื่อตรวจหาเชื้อแอนแทรกซ์ ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่ใช้ผลิตอาวุธชีวภาพ<br />
<br />
<b>ตัวอย่างประโยชน์ ด้านการเกษตร ของ<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">เทคนิคพีซีอาร์ (PCR)</a></b><br />
<br />
มี ประโยชน์ต่อการตรวจ วินิจฉัยโรคพืช การตรวจสอบสายพันธุ์พืช นอกจากนี้แล้วเทคนิคพีซีอาร์ ยังช่วยให้ เข้าใจพันธุกรรมของเชื้อโรคพืช ตลอดจนการนำไปใช้ในการป้องกันกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส หรือเชื้อสาเหตุโรคอื่น ๆ<br />
<br />
นำมาใช้ในอุตสาหกรรม การเพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่ทำรายได้ให้กับประเทศจำนวนมาก โดยใช้เทคนิคนี้ตรวจ หาเชื้อสาเหตุโรคในกุ้ง เช่น เชื้อไวรัส ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังนำมาประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกสายพันธุ์กุ้งที่ดีเพื่อใช้ในการ ผสมพันธุ์ซึ่งมีความแปรปรวนพันธุกรรม (Genetic Diversity หรือ Variation) สูง<br />
<br />
<b>ตัวอย่างประโยชน์ด้านการศึกษาจีโนม ของ<a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">เทคนิคพีซีอาร์ (PCR)</a></b><br />
<br />
มี ประโยชน์ในการ ศึกษาความผันแปรหรือกลายพันธุ์ของยีน การทำแผนที่ยีน และการศึกษาลำดับเบสของสิ่งมีชีวิต นำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในงานวิจัยทางชีววิทยาโมเลกุลและพันธุวิศวกรรม เช่น การวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน (Gene sequencing) การ สร้างดีเอ็นเอตรวจติดตาม (DNA probe) และการวิจัย อื่นๆ<br />
<br />
โครงการระดับนานาชาติ เช่น โครงการศึกษาจีโนมมนุษย์ (Human Genome Project) ก็ใช้เทคนิคพีซี อาร์สืบหาตำแหน่งยีนแต่ละยีนของมนุษย์<br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><b>TAG :</b> <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">หลักการของ PCR</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">สารเคมีที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา PCR </a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">polymerase chain reaction pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">ปฏิกิริยา pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">หลักการ pcr</a></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-59675710200692357372010-02-16T01:40:00.000-08:002010-02-16T01:53:41.002-08:00หลักการเทคนิค Pcr (Polymerase Chain Reaction) , สารเคมีที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา PCRเทคนิคพีซีอาร์ (PCR) มีชื่อเต็มว่าเทคนิคปฏิกิริยาลูกโซ่โพ ลิเมอเรส (Polymerase Chain Reaction) เป็นเทคนิคเพิ่มปริมาณสาร พันธุกรรมคือดีเอ็นเอ ให้มีปริมาณมากเป็นล้านเท่า ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยอาศัยหลักการจำลองตัวของสายดีเอ็นเอ (DNA Replication) เลียนแบบกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอในสิ่งมีชีวิตตาม ธรรมชาติ ที่มีการสร้างสายดีเอ็นเอสายใหม่อีกหนึ่งสายจากดีเอ็นเอเดิม<br />
<br />
<b>หลักการของ PCR</b><br />
<img id="imgb" src="http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:JLhi6HIbJ5QS3M" /><b> </b><br />
<br />
ใช้หลักการพื้นฐานในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ สายใหม่จากสายดีเอ็นเอ ที่เป็นต้นแบบหนึ่งสายด้วยเอนไซม์ DNA poloymerase ซึ่งใช้กันอยู่ทั่วไปในการติดฉลากดีเอ็นเอ และการศึกษาวิเคราะห์ลำดับเบส แต่ PCR สามารถสังเคราะห์ดีเอ็นเอได้คราวละ 2 สายพร้อมกัน โดยใช้ไพรเมอร์ (primer) 1 คู่ ปฏิกิริยา PCR มี 3 ขั้นตอน และหมุนเวียน ต่อเนื่องกันไป ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมของแต่ละขั้นตอน <br />
<br />
<b>ขั้นแรก</b> เรียกว่า denaturing เป็นการแยกสายดี เอ็น เอ ที่เป็นต้นแบบจากสภาพที่เป็นเส้นคู่ ให้เป็นเส้นเดี่ยวโดยใช้อุณหภูมิสูง 92-95o ซ <br />
<br />
<b>ขั้นที่สอง </b>เรียกว่า annealing เป็นขั้นตอนที่ลดอุณหภูมิลงและจัดให้ ไพรเมอร์ ซึ่งเป็นดี เอ็น เอ สายสั้น ๆ (ประกอบด้วยนิ วคลีโอไท ด์จำนวน 14-13 เบส) ที่มีลำดับ เบสเป็นคู่สม กับดี เอ็น เอ ที่เป็นต้นแบบจับคู่กัน ซึ่งนิยมใช้อุณหภูมิในช่วง 37-60o ซ <br />
<br />
<b>ขั้นที่สาม</b> เรียกว่า extension เป็นขั้นตอนการสังเคราะห์ดี เอ็น เอ สายใหม่โดยสังเคราะห์ต่อจากส่วนปลาย 5 ของไพรเมอร์ ตามข้อมูลบนดีเอ็นเอ ที่เป็นต้นแบบแต่ละสายโดยอาศัยการทำงานของเอ็นไซ ม์ดีเอ็นเอโพลิเมอร์เรส (DNA polymerase) ซึ่งเอ็นไซ ม์นี้สามารถทำงานได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ 72-75o ซ เอนไซม์ดีเอ็นเอโพลิเมอเรสที่ใช้ควรจะคง คุณสมบัติอยู่ได้ภายใต้สภาวะของปฏิกิริยา ตลอดทั้งสามขั้นตอน <br />
<br />
จากขั้นตอนที่ 1-3 ซึ่งนับเป็นจำนวน 1 รอบ (one cycle) จะให้ผลผลิตเป็นดีเอ็นเอสายคู่ที่มีลำดับเบสเป็นคู่สม กับดีเอ็นเอที่เป็นต้นแบบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อจัดให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่จากขั้นที่ 1 ถึง 3 หมุนเวียนไปอีกหลาย ๆ รอบจะเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอได้ มากมาย ประมาณว่าปฏิกิริยา 20 รอบ สามารถเพิ่มปริมาณสารดีเอ็นเอไม่ได้น้อยกว่า 100,000 เท่า <br />
<br />
<b>สารเคมีที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา PCR </b><br />
<br />
เนื่องจากการทำ PCR เป็นการสร้างสายดีเอ็นเอ สายใหม่ในหลอดทดลอง จึงต้องมีการเติมสารเคมีและสารตั้งต้นที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการนำมาสร้างเป็นดีเอ็นเอสายใหม่ สารเคมีที่ต้องใช้ปฏิกิริยา PCR มีดังต่อไปนี้<br />
<br />
1. Deoxynucleotides (dNTPs) เป็นนิวคลีโอไทด์ ซึ่งเป็นหน่วยย่อยสำหรับนำไปสังเคราะห์ดีเอ็นเอสายใหม่<br />
2. DNA polymerase เป็นเอนไซม์สำหรับสังเคราะห์ดีเอ็นเอให้ช่วยเร่งปฏิกิริยาเชื่อมต่อนิ วคลีโอไทด์ใหม่เข้ากับไพรเมอร์<br />
3. Primer เป็นดีเอ็นเอเริ่มต้นสายสั้น ๆ ที่มีลำดับเบสเป็นคู่สมกับดีเอ็นเอที่เป็นต้นแบบของการสังเคราะห์ ในการทำ PCR จึงต้องทราบลำดับเบสของดีเอ็นเอที่ต้องการจะเพิ่มจำนวน เพื่อใช้ในการสร้างไพเมอร์จำเพาะ<br />
4. PCR buffer เป็นสารละลายที่ควบคุมสภาวะของการทำปฏิกิริยาให้เหมาะสม เช่น pH และเกลือต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีอนุมูลแมกนีเซียม (Mg++) อยู่ด้วย<br />
5. Template คือดีเอ็นเอต้นแบบหรือยีนส่วนที่ต้องการเพิ่มปริมาณ หรือเป็นตัวอย่างดีเอ็นเอ ที่ต้องการนำมาตรวจหาดีเอ็นเอจำเพาะ<br />
<br />
สารเคมีที่เป็นส่วนผสมของปฏิกิริยา PCR จะผสมกันไว้ในหลอดทดลองเล็กปริมาตรสาร 20-100 ไมโครลิตร เมื่อนำหลอดส่วนผสมไปใส่ไว้ใน เครื่องควบคุมอุณหภูมิที่เรียกว่า DNA thermal cycler (นิยมเรียกว่าเครื่อง Pcr) ที่ปรับอุณหภูมิได้ตามโปรแกรมที่กำหนด จะเกิดการสังเคราะห์ดีเอ็นเอสายใหม่ขึ้นในหลอด เมื่อเกิดปฏิกิริยาจนครบรอบและระยะ เวลาที่กำหนดจะได้ผลผลิตดีเอ็นเอ ขนาดที่ต้องการเป็นจำนวนมาก<br />
<br />
TAG : <span style="font-size: x-small;"><a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">หลัก การของ PCR</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">สาร เคมีที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยา PCR </a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">polymerase chain reaction pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">ปฏิกิริยา pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">หลัก การ pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr.html">เทคนิคทางพันธุวิศวกรรม </a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr.html">ประโยชน์ pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">หลักการ ทำ pcr</a> , <a href="http://judfun.blogspot.com/2010/02/pcr-polymerase-chain-reaction-pcr.html">เครื่อง pcr</a></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-1823993813832885472009-12-29T23:32:00.000-08:002009-12-29T23:32:38.145-08:00ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland)<div style="text-align: justify;"><b>ต่อมน้ำลายมีต่อมใหญ่ 3 ต่อม คือ</b><br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><a href="http://img252.imageshack.us/img252/1125/salivary028169124817102.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img alt="http://img252.imageshack.us/img252/1125/salivary028169124817102.jpg" border="0" height="179" src="http://img252.imageshack.us/img252/1125/salivary028169124817102.jpg" width="192" /></a>1. ต่อมน้ำลายพาโรติด (parotid) เป็นต่อมน้ำลายที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่ด้านข้างของใบหน้าระหว่างหูกับคางมีท่อไปเปิดสู่กระพุ้งแก้ม<br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">2. ต่อมน้ำลายใต้คาง(Submandibular) ขนาดเล็กกว่า อยู่ใต้กระดูกคางทั้งสองข้าง มีท่อไปเปิดสู่ช่องปากแท้ตรงระหว่างใต้ปลายลิ้นกับพื้นปาก<br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;">3. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น(Sublingual) ขนาดเล็กที่สุด อยู่ใต้เยื่อเมือกของปาก ที่สองข้างลิ้น มีท่อเล็กๆ หลายท่อเปิดสู่ช่องปากแท้<br />
</div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: justify;"><b>บทความที่แนะนำ</b><br />
</div><div style="text-align: justify;">- <a href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/dental-and-jaw-joint.html">กระดูกขากรรไกร และข้อต่อ (Dental and Jaw Joint )</a><br />
</div>- <a href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_7980.html">ปวดขมับ-ใบหน้า อาการ 'ขากรรไกรเสื่อม'</a>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-44817390565933271172009-12-20T13:00:00.000-08:002009-12-20T13:02:04.243-08:00Download ที่เธอเป็นเธอ.mp3 - Ost.เทพธิดาปลาร้า [New Single] นิก รณวีร์<b></b><br />
<div style="width: 468px;"><b><object height="170" width="468"><param name="movie" value="http://music.gmember.com/player/html_player_music/swf/player_music_adplus.swf?0903963301" /><param name="allowScriptAccess" value="never" /><param name="wmode" value="transparent" /><param name="FlashVars" value="songid=0903963301&albumid=6263" /><embed allowScriptAccess="never" src="http://music.gmember.com/player/html_player_music/swf/player_music_adplus.swf?0903963301" type="application/x-shockwave-flash" width="468" height="170" wmode="transparent" flashvars="songid=0903963301&albumid=6263"></embed></object></b><br />
</div><span style="font-size: large;"><b><a href="http://e3cf5e18.linkbucks.com/">ฟังเพลง ที่เธอเป็นเธอ.mp3 - Ost.เทพธิดาปลาร้า [New Single] นิก รณวีร์</a> </b></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-43625959759661244222009-12-20T12:36:00.000-08:002009-12-20T12:36:44.508-08:00Download NEW [F] ไม่เห็นฝุ่น.mp3 กะลา-KaLa Grammy New Releases Vol. 05<span style="font-size: small;"><b><a href="http://c4d46bcc.linkbucks.com/" target="_blank" tip="">NEW [F] ไม่เห็นฝุ่น.mp3 กะลา-KaLa Grammy New Releases Vol. 05</a></b></span><br />
<embed allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="250" src="http://www.4shared.com/embed/142460267/f20fa7d" width="420"></embed>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-87575439167582510942009-12-02T23:05:00.001-08:002009-12-02T23:05:24.859-08:00เพลง เหงือกฟันสำคัญนะ(ทันตสุขศึกษา)ปากคือ อวัยวะที่เธอใช้งานตั้งแต่คลอดมา<br />เอ๊ะ ! ใครงอแงจริงนะ ที่วันแรกตะโกน ร้องให้โยเย<br />ตอนเธอเกิดมา ไม่มีฟันสักซี่ ยิ้มที่ก็เห็นแต่เหงือกแดง<br />แล้วพอไม่นาน เมื่อเธอ เริ่มจะคลานฟันจะเริ่มขึ้นมา<br />* เคี้ยวอะไร อะไร ก็ต้องใช้ ฟันคอยบดเอา<br />และที่ตรงเหงือกเรา จะคอยยึดให้ฟันอยู่ทน ต่างพึ่งกัน<br />ทั้งเนื้อเยื่อและปริทันต์ ต้องรักษาไว้ให้สมบูรณ์ หากขาดเหงือกวันนี้<br />แล้วฟันเราจะยึดกับอะไร ซ้ำ *<br /><br /><embed allowscriptaccess="never" allowaccess="never" type="application/x-mplayer2" pluginspage="http://www.microsoft.com/windows/windowsmedia/download/AllDownloads.aspx/" filename="http://dental.anamai.moph.go.th/oralhealth/TSound/Sound/d4.wma" name="MediaPlayer" showcontrols="1" showstatusbar="1" autostart="true" showtracker="1" showaudiocontrols="1" showpositioncontrols="1" playcount="10" width="280" height="68"></embed><br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;">ที่มา : dental.anamai.moph.go.th </span></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-52328406826435673682009-12-02T22:52:00.000-08:002009-12-02T23:06:31.833-08:00เหงือกดีฟันงาม รู้รักษาตามวัยกรมอนามัย เผยแปรงสีฟันในท้องตลาดด้อยคุณภาพเพียบ สำรวจ 67 ยี่ห้อ 273 รุ่นพบทุก 1 ใน 4 รุ่นของแปรงสีฟันขนแปรงแข็ง ไม่ผ่านการมนปลาย หัวแปรงมีขนาดใหญ่เกินไป ขนแปรงหลุดร่วงง่าย เป็นอันตรายต่อเหงือกและฟัน แนะเลือกใช้ “แปรงสีฟันติดดาว” ชี้ได้มาตรฐานผ่านการตรวจรับรองจากห้องปฏิบัติการกรมอนามัย<br /><br />หลัง 4 ใน 5 ของเด็กไทยและ 2 ใน 5 ของคนวัย 40 ปีขึ้นไป เป็นโรคเหงือกอักเสบ พิสูจน์ว่าโรคฟันผุและโรคเหงือก หรือโรคปริทันต์ไม่ได้มาตามวัย<br /><br />ใคร ๆ ก็ทราบดีว่าการแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง จะ ช่วยรักษาฟันให้อยู่กับเราได้นาน แต่คนจำนวนไม่น้อย ก็สูญเสียฟันจากโรคฟันผุ และโรคเหงือก อันเนื่องมาจากดูแลรักษาฟันไม่ดีพอ<br /><br />สมาคมปริทันตวิทยาแห่งประเทศไทยเผยว่า พบ 4 ใน 5 ของเด็กไทยเป็นโรคเหงือกอักเสบและ 2 ใน 5 ของคนไทยวัย 40 ปีขึ้นไป มีปัญหาโรคเหงือก ขั้นลุกลามที่ทำลายกระดูกรอบฟันที่เรียกว่า โรคเหงือกอักเสบ พร้อมกับมีอาการติดเชื้อเรื้อรังที่ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดอีกด้วย<br /><br />นี่ก็แสดงว่าโรคฟันผุและโรค เหงือก หรือโรคปริทันต์นั้น เกิดขึ้นมิได้จำกัดวัยเลย ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรจะต้องทราบถึงการดูแลสุขภาพฟันกันอย่างสม่ำเสมอตามวัย กันดีกว่า<br /><br />ทันตแพทย์สุนทร อัศวานันท์ ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรมอัศวานันท์ กล่าวว่า ควรจะดูแลรักษาสุขภาพฟัน อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่ฟันแท้ขึ้น คือประมาณ 10 กว่าขวบต้องพยายามดูแลเพื่ออนาคตของฟันที่ดี<br /><br />ช่วงอายุ 10-14 ปี ฟันแท้ขึ้นเต็มที่ การเจริญเติบโตของฟันยังไม่หยุด หากมีปัญหาฟันห่าง ฟันเหยิน การสบฟัน ไม่ดีจะดูแลแก้ไขได้ง่าย เป็นช่วงที่ใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่มากที่สุด<br /><br />ช่วงอายุ 17-18 ปี มักมีปัญหาฟันคุด ให้เริ่มเน้นสุขภาพฟันได้แล้ว<br /><br />อายุ 20 ปีขึ้นไป มักมีปัญหาเรื่องสีฟัน ฟันไม่ขาว ไม่สวย บางคนเริ่มสูบบุหรี่ทำให้ฟันเหลืองเป็นคราบ อาจต้องมีการฟอกสีฟัน<br /><br />อายุ 35 ปีขึ้นไป มักมีปัญหาฟันผุ เหงือกอักเสบ เหงือกร่น คอฟันสึก หากดูแลไม่ทั่วถึง กระดูกและรากฟันจะเริ่มมีปัญหา<br /><br /><img style="width: 378px; height: 252px;" alt="http://img691.imageshack.us/img691/5972/clean132124463216916.jpg" src="http://img691.imageshack.us/img691/5972/clean132124463216916.jpg" /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">Tag :</span> <span style="font-size:130%;"><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_3809.html">ข้อดีของการนวดเหงือก</a><span style="font-weight: bold;">, </span><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_5335.html">การป้องกันเหงือกอักเสบ</a><span style="font-weight: bold;">, </span><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/09/blog-post_4332.html">การรักษาโรคเหงือกอักเสบ</a><span style="font-weight: bold;">, </span><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/11/1000-2500-1.html">สาเหตุของเหงือกร่น</a><span style="font-weight: bold;">, </span><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/blog-post_9378.html">แปรงสีฟัน / ยาสีฟัน</a><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/blog-post_9378.html"> </a><span style="font-weight: bold;">,</span></span><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" > </span><span style="font-size:130%;"><a style="font-weight: bold;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/12/blog-post_02.html">เพลง เหงือกฟันสำคัญนะ</a></span><br /><br />แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าวัยใด ต้องไม่ลืมหลักทั่วไปว่าควรแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยแปรงที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเป็นกรดสูง เพราะจะทำให้เกิดการสึกของฟัน ถ้า เลี่ยงไม่ได้ควรดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อลดกรดในช่องปาก และไม่ควรแปรงฟันทันที (รออย่างน้อย 30 นาที) เนื่องจากผิวฟันมีสภาพอ่อนนุ่มทำให้ฟันสึกมากขึ้น<br /><br /><br /><span style="font-size:130%;">เพลง</span><span style="font-weight: bold;"> </span><span style="color: rgb(51, 102, 255); font-weight: bold;">เหงือกฟันสำคัญนะ(ทันตสุขศึกษา)</span><br /><br />ปากคือ อวัยวะที่เธอใช้งานตั้งแต่คลอดมา<br />เอ๊ะ ! ใครงอแงจริงนะ ที่วันแรกตะโกน ร้องให้โยเย<br />ตอนเธอเกิดมา ไม่มีฟันสักซี่ ยิ้มที่ก็เห็นแต่เหงือกแดง<br />แล้วพอไม่นาน เมื่อเธอ เริ่มจะคลานฟันจะเริ่มขึ้นมา<br />* เคี้ยวอะไร อะไร ก็ต้องใช้ ฟันคอยบดเอา<br />และที่ตรงเหงือกเรา จะคอยยึดให้ฟันอยู่ทน ต่างพึ่งกัน<br />ทั้งเนื้อเยื่อและปริทันต์ ต้องรักษาไว้ให้สมบูรณ์ หากขาดเหงือกวันนี้<br />แล้วฟันเราจะยึดกับอะไร ซ้ำ *<br /><br /><embed allowscriptaccess="never" allowaccess="never" type="application/x-mplayer2" pluginspage="http://www.microsoft.com/windows/windowsmedia/download/AllDownloads.aspx/" filename="http://dental.anamai.moph.go.th/oralhealth/TSound/Sound/d4.wma" name="MediaPlayer" showcontrols="1" showstatusbar="1" autostart="true" showtracker="1" showaudiocontrols="1" showpositioncontrols="1" playcount="10" width="280" height="68"></embed><br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;">ที่มา : Kapook.com , dental.anamai.moph.go.th </span></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-46912306661441541552009-11-19T18:33:00.000-08:002009-11-19T18:43:34.616-08:00นอนกรน เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร - วิธีช่วยลดการนอนกรน<span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;">โดยปกติ เวลาคนเรานอนหลับ กล้ามเนื้อที่ลิ้นและที่โคนลิ้น จะคลายตัวลงไปด้วย ทำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิทนะครับ ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือ บริเวณที่โคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ถ้าหากเราทำงานหนักมาทั้งวัน หรือเหนื่อยมาก ก็จะนอนหลับสนิทหรือ deep มาก</span><br /><span style="font-family:arial;"> ทำให้ลิ้นตกลงไปได้มากขึ้น ก็ยิ่งกรนหนักขึ้น แล้วโอกาสที่ร่างกายจะพลิกตัวขณะหลับก็น้อย ทำให้คนที่หลับสนิทมากๆ กรนได้มากกว่าทั่วไป</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" > วิธีแก้ไข </span><span style="font-family:arial;">ก็คือ นอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้น (แต่ถ้ามากไปก็จะปวดคอนะครับ)</span><br /><span style="font-family:arial;"> หรือถ้ารู้ตัวว่าทั้งวันทำกิจกรรมมากจนเหนื่อยมาก</span><br /><span style="font-family:arial;"> ก็ให้นอนหลับในท่านอนตะแคง หรือเกือบๆคว่ำ ก็จะช่วยลดเสียงกรนได้ครับ</span><br /><span style="font-family:arial;"> กรณีที่กล่าวมา ไม่ถือเป็นความผิดปกติ และไม่ถือว่าเป็นโรค</span><br /><span style="font-family:arial;"> ไม่จำเป็นต้องรักษาอะไรครับ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> แต่ในอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งมักเกิดกับคนที่อ้วน มีสรีระบริเวณคอใหญ่ รวมทั้งเนื้อเยื่อในโพรงช่องปาก ด้านในใหญ่ด้วย หลายๆส่วนเลยร่วมกัน ขัดขวางทางเดินของอากาศตอนหายใจ ทำให้กรนได้ง่ายขึ้นหรือมากขึ้น ถึงแม้ไม่ได้หลับสนิทและจะทำให้ร่างกายได้รับออกชิเจน ในขณะหลับน้อยลง ร่างกายก็จะเตือนตัวเองให้ตื่นขึ้นแบบไม่รู้ตัว เพื่อพลิกหรือขยับตัว ให้หายใจได้คล่องขึ้น หรือตื่นเพื่อให้ร่างกายหลับตื้นขึ้น ลิ้นก็จะได้ไม่ตกลงไปขัดขวางทางเดินหายใจ</span><br /><span style="font-family:arial;"> บางคนร่างกายจะตื่นตลอดทั้งคืน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลย คิดว่าตัวเองหลับสนิทตลอดทั้งคืน มีผลทำให้ตอนตื่นเช้าจะรู้สึกไม่สดใส ทั้งๆที่นอนไปตั้งหลายชั่วโมง จะรู้สึกเหมือนกับนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง บางทีก็จะปวดศีรษะตอนตื่นนอน กลางวันก็จะง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน บางครั้งก็ฟุบกับกับหนังสือขณะอ่านหนังสือ</span><br /><span style="font-family:arial;"> หรือฟุบไปกับพวงมาลัยขณะขับรถ เหมือนหลับใน ทั้งๆที่ไม่ได้อดนอนมา ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้</span><br /><span style="font-family:arial;"> ถ้าไม่ได้ขับรถ เวลาไปนั่งไหนก็จะสัปปะหงกอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ลักษณะทั้งหมดที่กล่าวมา ถือว่าเป็นโรคครับ เรียกว่า </span><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >Obstructive Sleep Apnea</span><span style="font-family:arial;"> (OSA)</span><br /><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Wm-TZ-dO_rQ&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Wm-TZ-dO_rQ&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br /><br /><span style="font-family:arial;"> การที่จะวินิจฉัยว่าเป็น OSA ก็ดูจากประวัติที่กล่าวมา นอกจากนี้ อาจต้องเข้าทดสอบ Sleep lab คือต้องไปนอนค้างคืน ในห้องที่จัดให้ แล้วมีสายมอนิเตอร์ วัดคลื่นสมอง คลื่นหัวใจ ความเข้มของออกซิเจนในเลือดขณะหลับ เพื่อวัดดูว่า เมื่อมีการหลับลึก แล้วร่างกายขาด ออกซิเจนแค่ไหน เทียบกับขณะกรน รวมถึงการที่ร่างกายต้องตื่นตัวเพื่อให้หลับตื้น ฯลฯ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ถ้าเข้า Sleep lab แล้ว ไม่บ่งชี้ว่ามี OSA ก็แก้ไขการนอนกรน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดเสียง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุจากส่วนประกอบต่างๆ ที่โตขึ้น ตรงไหนโตก็ทำให้เล็กลง เพื่อไม่ให้มาขัดขวางทางเดินหายใจ การตรวจภายในช่องปาก อาจพบส่วนประกอบต่างๆ ที่ใหญ่ขึ้น</span><br /><span style="font-family:arial;"> เช่น ลิ้นไก่ เนื้อเยื่อที่อยู่ข้างลิ้นไก่ ที่เวลาอ้าปากมองในกระจกจะเห็นเป็นเหมือนซุ้มประตูโค้ง ( Anterior pillar ) รวมทั้ง อาจมีต่อมทอนซิลโตด้วย ถ้าต่อมทอนซิลโต การตัดต่อมทอนซิลอาจช่วยลดเสียงได้ ถ้าลิ้นไก่ และ/หรือ anterior pillar ใหญ่ อาจใช้การรักษา</span><br /><span style="font-family:arial;"> ด้วยเลเซอร์จี้ให้ยุบลงได้ กรณีนี้ต้องปรึกษาหมอทางด้านหู คอ จมูกครับ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ถ้าทดสอบ Sleep lab แล้วบ่งชี้ว่าเป็น OSA ก็ต้องหาสาเหตุต่างๆ แล้วก็แก้ที่สาเหตุ รวมทั้งแก้ไขด้วยเครื่องช่วยหายใจแบบ Positive End--Expiratory Airway Pressure เพื่อป้องกันไม่ไห้เกิดผลแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาในระยะยาวเช่น เลือดข้น ( Polycythemia ) หรือความดันโลหิตสูง</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ไม่ต้องตกใจหรือเป็นกังวลหรอกนะครับ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ในคนที่นอนกรน ที่พบว่าเป็น OSA ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ตัวอ้วนมาก โดยเฉพาะฝรั่งทางตะวันตก จะเป็นมากกว่าคนไทย</span><br /><span style="font-family:arial;"> คนส่วนใหญ่ที่นอนกรน ใช้การจัดท่านอนที่เหมาะสมก็ช่วยได้แล้วครับ ที่เหลือก็เป็นเรื่องขององค์ประกอบบางอย่างในช่องปากด้านในที่มันใหญ่ ก็แก้ไขไม่ยากครับ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"> ทั้งนี้ทั้งนั้น ปรึกษาหมอทางด้านหู คอ จมูก จะดีที่สุดครับ</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >คุณเป็นคนนอนกรนหรือเปล่า ถ้าใช่ ต้องรีบหาทางแก้ไขเสียโดยด่วน ลองปรับพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ตั้งแต่คืนนี้ดีกว่า</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >1.นอนตะแคง</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">จะ ช่วยลดและผ่อนคลายความดันในช่องทางเดินอากาศที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากเกิน ไปได้ แต่ถ้าไม่ชินกับการนอนตะแคง อาจใช้ลูกเทนนิส 2 - 3 ลูก เปลือกถั่วใส่ถุง หรือกระเป๋าวางไว้ด้านหลัง ลูกบอลหรือเปลือกถั่วเหล่านี้จะช่วยให้ไม่พลิกตัวไปนอนหงายได้</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >2.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">เครื่อง ดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ และยาแก้แพ้ต่าง ๆ เป็นตัวทำให้การหายใจช้าลง และตื้นขึ้น กล้ามเนื้อหย่อนคลายลงมากกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มได้มากว่าโครงสร้างลำคอจะอุดตันช่องทางเดินอากาศได้ง่าย เป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนกรน</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >3.ลดน้ำหนัก</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ภาวะ หยุดหายใจขณะนอนหลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุดสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากผิด ปกติ ทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก การลดน้ำหนักสามารถช่วยได้ แต่หมายถึงลดให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักตามสัดส่วน</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">การออกกำลังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยที่สุด ทั้งยังช่วยปรับสภาพกล้ามเนื้อ และทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น</span><br /><br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;font-family:arial;" >ที่มา : doctorsan.com,นพ.สมยศ ชัยธีระสุเวท</span></span><br /></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-6880543701529563452009-11-05T02:11:00.000-08:002013-08-22T13:47:31.218-07:00สาเหตุ ของเหงือกร่น และการรักษาเมื่อพบเหงือกร่น ? - Gingival recession<a href="http://img690.imageshack.us/img690/7822/13392337f06406468.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="http://img690.imageshack.us/img690/7822/13392337f06406468.jpg" border="0" src="http://img690.imageshack.us/img690/7822/13392337f06406468.jpg" style="height: 185px; width: 122px;" /></a>การเกิดเหงือกร่นมีได้หลายสาเหตุ การจัดฟัน การแปรงฟันผิดวิธี ฟันซ้อนเก โรคปริทันต์อักเสบ ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดเหงือกร่นได้ทั้งนั้น รักษาโดย การปลูกเหงือก แต่จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ต้องได้รับการตรวจอย่างละเอียดเพื่อประเมินผลการรักษา เพราะทำได้ไม่ทุกกรณี ค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 1000 บาท (ในเวลาราชการ) ถึง 2500 บาท (นอกเวลาราชการ)<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">เหงือกร่นเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ</span><br />
<br />
1. การแปรงฟันผิดวิธี โดยการแปรงฟันแรงเกินไป วางขนแปรงตั้งฉากกับตัวฟันและออกแรงถูเข้าและออกแรง ๆ<br />
2. เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรงทำให้กระดูกเบ้าฟันละลายตัวลงมาทำให้เหงือกร่นตามกระดูกและเห็นรากฟันโผล่พ้น เหงือกออกมา<br />
3. เกิดภายหลังการจัดฟันเนื่องจากการแปรงฟันได้ไม่เต็มที่เหงือกอักเสบ อาจทำให้เหงือกร่นได้ หรือเหงือกบาง กระดูกเบ้าฟันบาง ทำให้รากฟันนูนออกนอกแนว เหงือกร่นได้<br />
4. บริเวณฟันที่ใส่ฟันปลอมทั้งแบบติดแน่นและถอดได้<br />
<br />
<object height="344" width="425"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KWYDBl29qxo&hl=en&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/KWYDBl29qxo&hl=en&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999&autoplay=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br />
<br />
ส่วนใหญ่การรักษาเหงือกร่นของเหงือกสามเหลี่ยมระหว่างทำได้ยาก เนื่องจากมีการละลายของกระดูกเบ้าฟันบริเวณซอกฟันร่วมด้วยซึ่งเป็นสาเหตุ สำคัญที่ทำให้เกิดเหงือกร่น แต่เราไม่สามารถสร้างกระดูกบริเวณนั้นขึ้นมาได้ ถ้าเกิดเหงือกร่นขึ้นทั่วไปในฟ้นหน้า เรามักแนะนำให้ทำเหงือกปลอมปิดฟันหน้าทั้งหมด ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐ<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">คำที่เกี่ยวข้อง : </span><span style="color: #3366ff; font-size: 130%;"><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_671.html" style="font-weight: bold;">เหงือกร่น </a><span style="font-weight: bold;">,</span><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html" style="font-weight: bold;">คราบหินปูน </a><span style="font-weight: bold;">,</span><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_6787.html" style="font-weight: bold;">เลือดออกตามไรฟัน </a><span style="font-weight: bold;">,</span><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/blog-post_8044.html" style="font-weight: bold;">การป้องกันฟันผุ</a></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-25799302836846072812009-10-15T20:59:00.000-07:002009-10-15T21:02:14.169-07:00การปักหมุดไทเทเนียม (miniscrew implant)การปักหมุดไทเทเนียม (miniscrew implant) เพื่อช่วยในการจัดฟัน เพิ่งเริ่มมาไม่นานครับ (ในประเทศไทยประมาณ 3-4ปี) ยังเป็นของใหม่อยู่ครับ วิธีก็คือ เอา implant ขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.3-2.0 มม ยาวประมาณ 6-10 มม ไปฝังไว้บริเวณกระดูกขากรรไกรที่ไม่มีฟันอยู่ เพื่อเป็นหลักในการดึงฟันไปในทิศทางต่างๆ ที่ต้องการ หลังจากฟันที่ต้องการเคลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่ต้องการเรียบร้อยแล้วก็ถอดออก ครับ กรณีของคุณก็คือแต่ก่อนหมอยังไม่รู้จักการใช้หมุดก็ทำให้ไม่สามารถหาวิธีใด มาดึงฟันมาปิดช่องว่างได้ครับ แต่ภายหลังจากที่มีการแพร่หลายของการใช้หมุด หมอจึงมีตัวเลือกในการรักษามากขึ้นและเสนอว่าถ้าไม่ต้องการใส่ฟันก็อาจนำเอา การดึงฟันด้วยหมุดมาใช้ครับ<br /><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/IDCds1N-6vU&hl=en&fs=1&rel=0"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/IDCds1N-6vU&hl=en&fs=1&rel=0" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br /><br /><span style="font-weight: bold;">บทความที่เกี่ยวข้อง<br /></span><a style="color: rgb(51, 0, 51);" target="_self" href="http://judfun.blogspot.com/2009/10/blog-post_4655.html">1.มาดู อุปกรณ์ที่ในการจัดฟัน</a><br /><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/metal-braces.html"><u>2.Metal braces</u> </a><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/metal-braces.html">(การจัดฟันแบบโลหะธรรมดา)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);"><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/metal-braces.html">3.</a></span><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/ceramic-braces.html"><u>Clear ceramic braces </u></a><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/ceramic-braces.html">(จัดฟันแบบเซรามิกสีเหมือนฟัน)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);"><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/metal-braces.html">4.</a></span><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/stb-light-lingual.html"><u>STb Light Lingual </u>(การจัดฟันด้านใน)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);"><span style="text-decoration: underline;">5.</span></span><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/invisalign.html"><span style="font-weight: normal;"><u><span>Invisalign®</span></u> </span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/invisalign.html"><span>(การจัดฟันแบบถอดออกได้โดยไม่เห็นเครื่องมือ)</span></a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);"><span style="text-decoration: underline;">6.</span></span><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/clear-aligner.html"><span><u>Clear Aligner </u> </span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/clear-aligner.html">(เครื่องมือจัดฟันแบบถอดออก)</a><br /><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/damon-system.html"><span>7.</span><span style="font-weight: normal;"><span><u>Damon® System</u> </span></span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/damon-system.html"><span>(ใหม่ล่าสุด)</span></a><strong style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 51);"></strong><strong style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 51);"><br /></strong><span style="color: rgb(51, 0, 51);"><span style="text-decoration: underline;">8.</span></span><strong style="font-weight: normal; color: rgb(51, 0, 51);"><u>Clear Retainer </u></strong><strong style="font-weight: normal; color: rgb(51, 0, 51);">(เครื่องมือคงสภาพฟันแบบใส)</strong>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-82396766540541063642009-10-15T20:49:00.000-07:002009-10-15T21:03:46.872-07:00หมุดจัดฟันทำหน้าที่อะไร<span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >คำถาม : </span><span style="font-family:arial;">อยากถามหมอว่า หมุดจัดฟันทำหน้าที่อะไร เนื่องจากดิฉันไปปรึกษาหมอมีลักษณะฟันที่กระดูกขากรรไกรบนมรลักษณะใหญ๋ ยิ้มเห็นเหงือก แบะขากรรไกรล่างเล็กกว่าขากรรไกรบน จึงทำให้ลักษณะของคางหดเข้าไป หมอบอกให้ผ่าตัดขากรรไกร ทั้งบนและล่าง บนให้ร่อนเข้าไปล่างให้ยืนออกมา แต่ค่ใช้จ่ายในการผ่าตัดมันสูงมากสู้ไม่ไหว หมอเลยแนะนำว่าถ้าไม่ผ่าก็ให้ใช้หมุดจัดฟัน หรือมินิอิมแพค คอยยึดไว้เพื่อไม่ให้ยิ้มเห็นเหงือกและฟันหน้าจะเข้าไป ไม่ทราบว่าช่วยได้จริงหรือเปล่าค่ะ แบบว่าไม่อยากเสียเงินเปล่าถ้ามันไม่ได้ผลเลย ถ้าวิธีนี้ได้ผลแล้วประมาณกี่เปอร์เซนต์ เพราะมีพี่จัดฟันมาเจ็ดปีแล้วยังไม่เสร็จเลย</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >คำตอบ</span><br /><img style="width: 386px; height: 223px; font-family: arial;" alt="http://img340.imageshack.us/img340/6372/orlusmain51144445116714.jpg" src="http://img340.imageshack.us/img340/6372/orlusmain51144445116714.jpg" /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >หมุดจัดฟัน (mini implant)</span><span style="font-family:arial;"> ช่วยรักษาพยาธิสภาพลักษณะดังกล่าวได้ดีกว่าการจัดฟันธรรมดา แต่ผลที่ได้ไม่มากและถาวรเท่ากับการผ่าตัด</span><br /><span style="font-family:arial;">เทคนิคนี้เพิ่งมีได้ไม่นาน การติดตามผลยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะมีการกลับคืนสู่สภาพเดิม (Relapse) ปริมาณเท่าใด ในระยะเวลาหนึ่งๆ แต่คาดว่าจะมีการ Relapse มากกว่าการจัดฟันธรรมดา เพราะเทคนิคนี้ใช้แรงดึงมากกว่า</span><br /><span style="font-family:arial;">ความล้มเหลวส่วนหนึ่งของเทคนิคนี้ มาจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำความสะอาดคราบอาหารที่อยู่รอบหมุดอย่างถี่ ถ้วน ทำให้หมุดหลวมและหลุดได้ในที่สุด ต้องหาที่ปักหมุดใหม่ ซึ่งขนาดและทิศทางของแรงก็เปลี่ยนไปจากเดิม การรักษาอาจไม่ดีเท่าที่ควรหรือล้มเหลวได้</span><br /><span style=";font-family:arial;font-size:78%;" ><br /><span style="font-style: italic;">ที่มา : http://www.dentalcouncil.or.th<br /><br /></span><span style="font-weight: bold;font-size:100%;" >บทความเพิ่มเติม </span><span style="font-style: italic;"><br /></span></span><span class="item-title" style="font-family:arial;"></span><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" target="_self" href="http://judfun.blogspot.com/2009/10/blog-post_4655.html">1.มาดู อุปกรณ์ที่ในการจัดฟัน</a><br /><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/metal-braces.html"><u>2.Metal braces</u> </a><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/metal-braces.html">(การจัดฟันแบบโลหะธรรมดา)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);font-family:arial;" ><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/metal-braces.html">3.</a></span><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/ceramic-braces.html"><u>Clear ceramic braces </u></a><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/ceramic-braces.html">(จัดฟันแบบเซรามิกสีเหมือนฟัน)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);font-family:arial;" ><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/metal-braces.html">4.</a></span><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/stb-light-lingual.html"><u>STb Light Lingual </u>(การจัดฟันด้านใน)</a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);font-family:arial;" ><span style="text-decoration: underline;">5.</span></span><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/invisalign.html"><span style="font-weight: normal;"><u><span>Invisalign®</span></u> </span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/invisalign.html"><span>(การจัดฟันแบบถอดออกได้โดยไม่เห็นเครื่องมือ)</span></a><br /><span style="color: rgb(51, 0, 51);font-family:arial;" ><span style="text-decoration: underline;">6.</span></span><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/clear-aligner.html"><span><u>Clear Aligner </u> </span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/04/clear-aligner.html">(เครื่องมือจัดฟันแบบถอดออก)</a><br /><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/damon-system.html"><span>7.</span><span style="font-weight: normal;"><span><u>Damon® System</u> </span></span></a><a style="color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;" href="http://judfun.blogspot.com/2009/03/damon-system.html"><span>(ใหม่ล่าสุด)</span></a><strong style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;"></strong><strong style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;"><br /></strong><span style="color: rgb(51, 0, 51);font-family:arial;" ><span style="text-decoration: underline;">8.</span></span><strong style="font-weight: normal; color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;"><u>Clear Retainer </u></strong><strong style="font-weight: normal; color: rgb(51, 0, 51); font-family: arial;"><span style="color: rgb(51, 0, 51);">(เครื่องมือคงสภาพฟันแบบใส)</span><br /><a style="color: rgb(51, 0, 51);" href="http://judfun.blogspot.com/2009/10/miniscrew-implant.html">9.การปักหมุดไทเทเนียม (miniscrew implant)</a><br /></strong>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-2836896527053837382009-10-15T20:20:00.000-07:002013-08-23T10:37:11.227-07:00มาดู อุปกรณ์ที่ในการจัดฟัน..มีลวดจัดฟัน-หมุดจัดฟันไทเทเนียม-หนังยางดึงฟัน-ยางแยกฟัน (Separator)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img alt="http://img376.imageshack.us/img376/4492/dentalwire2.jpg" border="0" src="http://img376.imageshack.us/img376/4492/dentalwire2.jpg" style="height: 193px; width: 259px;" /><img alt="http://img131.imageshack.us/img131/9379/dentalwire.jpg" border="0" src="http://img131.imageshack.us/img131/9379/dentalwire.jpg" style="height: 154px; width: 209px;" /></div>
<span style="font-weight: bold;">ลวดจัดฟัน</span><br />
<br />
ลวดที่นิยมใช้ในการจัดฟัน มี 2 แบบ คือ<br />
1. ลวดสแตนเลส มีความแข็งแรง ไม่บิดงอได้ง่าย สามารถดัดขึ้นรูปได้<br />
และมีความฝืดต่ำในการเคลื่อนผ่านช่องของเครื่องมือ (Bracket)<br />
<br />
2. ลวดโลหะผสม เช่น ลวดนิเกิ้ลไทเทเนียม (Nickle-Titanium, NiTi) มีความนิ่ม โค้งงอได้และกลับคืนรูปได้เหมือนเดิม จึงนิยมใช้ในช่วงแรกๆ ของการจัดฟัน ที่ฟันยังเกอยู่มาก<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">หมุดจัดฟันไทเทเนียม (Mini-Implant)</span><br />
<br />
<object height="344" width="425"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/l0sKnl1LMSk&hl=en&fs=1&rel=0"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/l0sKnl1LMSk&hl=en&fs=1&rel=0" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br />
<br />
เป็นเครื่องมือเสริมในการจัดฟัน เพิ่งเริ่มมาไม่นาน ลักษณะเป็นหมุดไทเทเนียมขนาดเล็กฝังผ่านเหงือกไปที่กระดูกที่ไม่มีฟันอยู่ เพื่อเป็นหลักยึดในการดึงฟันไปในทิศทางต่างๆ ที่ต้องการ ซึ่งหมุดจัดฟันนี้ใช้เฉพาะในการจัดฟันเท่านั้น หลังจากฟันที่ต้องการเคลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่ต้องการแล้วก็จะเอาหมุดออก<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">หนังยางดึงฟัน</span><br />
<img alt="http://img94.imageshack.us/img94/4060/1002496903807769.jpg" src="http://img94.imageshack.us/img94/4060/1002496903807769.jpg" style="height: 223px; width: 342px;" /><br />
<br />
การเลื่อนฟันบางตำแหน่งในการจัดฟัน ต้องอาศัยความร่วมมือของคนไข้เป็นสิ่งสำคัญ โดยการใส่หนังยางดึงฟัน (Elastic) ตามที่ทันตแพทย์จัดฟันแนะนำอย่างเคร่งครัดจะทำให้ฟันเลื่อนเข้าที่ได้รวดเร็ว ทันตแพทย์จัดฟันจะแนะนำวิธีใส่หนังยาง ทิศทางและตำแหน่งของหนังยาง รวมทั้งระยะเวลาในการใส่ เช่น ใส่ตลอดเวลา หรือ ใส่เฉพาะบางเวลา คนไข้ควรเปลี่ยนหนังยางทุก 12 - 24 ชั่วโมงหลังใส่ เพราะยางจะล้า หมดแรงดึง ควรใส่หนังยางคืนทันทีหลังทานอาหารและหลังทำความสะอาดฟัน การใส่หนังยางไม่สม่ำเสมอ ฟันจะเลื่อนไปแล้วเลื่อนกลับ ถ้าตะขอที่เกี่ยวหนังยางบิด หรือหัก ให้รีบติดต่อทันตแพทย์ทันที ฟันที่เกี่ยวหนังยางอาจมีอาการเจ็บ ๆ หรือ โยกเล็กน้อย หลังใส่หนังยางเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปกติ ไม่ต้องกังวล ถ้ามีอาการมากผิดปกติ ให้ติดต่อทันตแพทย์<br />
<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">ยางแยกฟัน (Separator)</span><br />
<br />
<object height="344" width="425"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/6ixDYdcccEI&hl=en&fs=1&rel=0"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/6ixDYdcccEI&hl=en&fs=1&rel=0" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br />
<br />
ยางแยกฟัน (Separator) ใช้ในการเตรียมฟันเพื่อใส่เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น โดยยางจะค่อย ๆ ดันฟันหลังซึ่งปกติจะอยู่ชิดกันแน่นให้หลวมขึ้น เพื่อเป็นที่อยู่ของแหวนจัดฟันหรือแบนด์ (Band)<br />
เมื่อเริ่มใส่ยางแยกฟัน จะรู้สึกแน่น ๆ เหมือนมีเศษอาหารติด เวลากัดฟันอาจรู้สึกว่ากัดโดนยางเพราะส่วนหนึ่งของยางแยกฟันอยู่บนด้านสบฟัน ถ้ามีอาการปวดหรือแน่นมาก สามารถ ทานยาแก้ปวดได้ อาการปวดจะบรรเทาลง ใน 2-3 วัน ควรเลี่ยงอาหารเหนียวที่จะติดและดึงยางแยกฟันออก และเลี่ยงการใช้ไหมขัดฟันบริเวณนี้ชั่วคราวเพราะยางจะหลุดได้ หากยางแยกฟันหลุดเกินกว่า 3 วันก่อนวันนัดติดแบนด์ ควรติดต่อทันตแพทย์เพื่อใส่ยางให้ใหม่Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-66431925666272302212009-10-15T11:57:00.000-07:002009-10-15T12:02:22.457-07:00ข้อดีของการดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง<span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><span style="font-size:130%;"><span style="font-weight: bold;">การดื่มน้ำ</span></span>เมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี<br />ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า<br />(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์<br />พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้<br />เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค<br />มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100%<br />(ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว<br /></span><br /><span style=";font-family:arial;font-size:100%;" >โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน<br />โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ<br />ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ<br />โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา<br />โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก<br /><br /></span><img style="width: 175px; height: 175px;" alt="http://img131.imageshack.us/img131/1174/4resize32129443214333.jpg" src="http://img131.imageshack.us/img131/1174/4resize32129443214333.jpg" /><img style="width: 265px; height: 175px;" alt="http://img384.imageshack.us/img384/3189/116832083763210820.jpg" src="http://img384.imageshack.us/img384/3189/116832083763210820.jpg" /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;font-size:100%;" ><br />วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้</span><span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><br /><br />1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)<br />2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือ<br />รับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ<br />3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที<br />ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป<br />4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม<br />ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว<br /><br />ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรค<br /><br />ที่เป็นอยู่ค่อยๆ เบาและหายขาดได้ในที่สุด<br />วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น<br /><br /><span style="font-weight: bold;">จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลาดังนี้</span><br /><br />1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน<br />2. โรคกระเพาะ 10 วัน<br />3. โรคเบาหวาน 30 วัน<br />4. โรคท้องผูก 10 วัน<br />5. โรคมะเร็ง 180 วัน<br />6. โรควัณโรค 90 วัน<br /><br />สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วันในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน<br /><br /></span><span style="font-weight: bold;font-family:arial;font-size:100%;" >วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด</span><span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><br /><br />เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ<br />ซึ่งอาจไม่สะดวกในการเดินทางบ้างเท่านั้น ขอให้มีสุขภาพที่ดีทุกท่าน</span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-39536580408975822432009-10-15T11:46:00.000-07:002009-10-15T11:48:47.147-07:00ลวดจัดฟันที่นิยมใช้ในการจัดฟันมี 2 ชนิด<span style="font-size:100%;"><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >1. ลวดสแตนเลส</span><br /><span style="font-family:arial;">มีความแข็งแรง ไม่บิดงอได้ง่าย สามารถดัดขึ้นรูปได้ และมีความฝืดต่ำในการเคลื่อนผ่าน</span><br /><span style="font-family:arial;">ช่องของเครื่องมือ(แบร็กเก็ตนั่นเอง)</span><br /><br /><span class="style11" style="font-family:arial;"><img style="width: 189px; height: 141px;" src="http://www.judfuns.com/pic/ld.jpg" alt="ลวดจัดฟัน ยางจัดฟัน " /></span><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >2.ลวดโลหะผสม</span><br /><span style="font-family:arial;">เช่น ลวดนิเกิ้ลไทเทเนียม (Nickle Titanium NiTi) มีความนิ่ม โค้งงอได้ และกลับคือรูป</span><br /><span style="font-family:arial;">ได้เหมือนเดิมจึงนิยมใช้ในช่วงแรกๆของการจัดฟัน ที่ฟันยังเกอยู่มาก</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >ยางจัดฟัน</span><br /></span><span class="style11"><img style="width: 124px; height: 117px;" src="http://www.judfuns.com/pic/yang.jpg" alt="ลวดจัดฟัน ยางจัดฟัน " /></span><br /><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;"><span style="font-weight: bold;">ยางจัดฟัน คือ</span> ยางห่วงเล็กๆที่ใช้รัดแบร็กเก็ตกันลวดให้อยู่กับทีการมัดลวดเข้ากับ</span><br /><span style="font-family:arial;">Bracket ด้วย O Ring หรือ Ligature Wire ทำให้เกิดความฝืดและการติด</span><br /><span style="font-family:arial;">(Binding) ระหว่างการเคลื่อนที่ของฟัน การใช้แรงที่เหมาะสม(Optimum Force)</span><br /><span style="font-family:arial;">ในการเคลื่อนฟันจึงแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะแรงเสียดทานเหล่านั้นมักจะมีค่ามากกว่าแรงที่</span><br /><span style="font-family:arial;">เหมาะสม (Optimum Force) อีกทั้งพบว่า O Ring จะสูญเสียความยืดหยุ่นภายใน</span><br /><span style="font-family:arial;">เวลาไม่นานหลังจากนำไปใช้ในช่องปาก การควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างลวดและฟัน</span><br /><span style="font-family:arial;">จึงทำได้ไม่ดีนัก และโดยธรรมชาติของวัสดุที่นำมาใช้ผลิต ทำให้ O Ring เป็นแหล่ง</span><br /><span style="font-family:arial;">สะสม Plaque และแบคทีเรียจำนวนมาก<br /><br /></span></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-7717611096293583362009-10-15T01:43:00.000-07:002009-10-15T01:49:47.548-07:00คราบหินปูนคือ..การขูดหินปูน<span style="font-weight: bold;">ถาม : ถาม.คราบฟันหรือหินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ : </span> หิน ปูนหรือหินน้ำลาย คือ แผ่นคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัว เนื่องจากมีธาตุแคลเซียม จากน้ำลายเข้าไปตกตะกอน แผ่นคราบจุลินทรีย์ หรือ Bacterial plaque คือ คราบสีขาวขุ่นนิ่ม ที่ประกอบด้วยเชื้อโรค ติดอยู่บนตัวฟัน แม้ว่าจะบ้วนน้ำ ก็ไม่สามารถหลุดออกได้ ขบวนการเกิดคราบจุลินทรีย์ เริ่มต้นหลังจากที่แปรงฟัน แล้วเพียง 2-3 นาที โดยจะมีเมือกใสของน้ำลาย มาเกาะที่ตัวฟัน จากนั้นเชื้อโรคที่มีอยู่มากในปาก จะมาเกาะทับถมกันมากๆ เข้าเกิดเป็นคราบจุลินทรีย์ คราบจุลินทรีย์นี้เอง เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด โรคฟันผุและโรคปริทันต์ เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป คราบจุลินทรีย์นี้ จะใช้น้ำตาลจากอาหาร สร้างกรดและสารพิษ โดยกรดจะทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุ สารพิษจะทำให้เหงือกอักเสบ ทำให้เกิดโรคปริทันต์ ถ้าไม่กำจัดคราบจุลินทรีย์ โดยการทำความสะอาดฟัน และเหงือกอย่างดีทุกวัน คราบนี้จะเพิ่มมากขึ้น และทำอันตรายต่อฟันและเหงือก มักพบคราบจุลินทรีย์มาก โดยเฉพาะที่คอฟัน บริเวณขอบเหงือกและซอกฟัน สามารถใช้สีย้อม ให้เห็นคราบได้ชัดเจน แต่ในรายที่คราบหนามากๆ สามารถเห็นและรู้สึกได้ เมื่อใช้ลิ้นสัมผัสไปตามฟัน<br /> <img alt="http://img260.imageshack.us/img260/646/412f065879e74c0b97e4471.jpg" src="http://img260.imageshack.us/img260/646/412f065879e74c0b97e4471.jpg" /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ความสำคัญและความจำเป็นในการขูดหินปูน</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> บนพื้นผิวหินน้ำลาย จะมีคราบจุลินทรีย์ปกคลุม หินน้ำลายที่โผล่พ้นขอบเหงือก จะมองเห็นได้ แต่ส่วนที่อยู่ใต้เหงือก จะมองไม่เห็น หินปูนหรือคราบจุลินทรีย์ ที่ยึดติดอยู่บนหินปูนใต้เหงือก ไม่สามารถกำจัดออกได้ โดยวิธีการทำความสะอาดฟันด้วยตัวเอง ต้องอาศัยทันตแพทย์ ช่วยกำจัดหินปูนให้ ทันตแพทย์จะขูดหินปูนออก ทั้งเหนือเหงือกและใต้เหงือก จากนั้นทำรากฟันให้เรียบ (root planning) ปราศจากสารพิษใดๆ เพื่อให้เหงือกยึดแน่น รอบตัวฟันเหมือนเดิม<br /><br />การขูดหินปูนให้หมดจริงๆ อาจต้องใช้เวลาพอควร อาจต้องนัดครั้งละ 30-45 นาที เป็นเวลา 2-4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับ ความมากน้อยของหินปูน ความลึกของร่องลึกปริทันต์ ความแข็งของหินปูนเป็นต้น<br /><br />หลังจากนั้นประมาณ 4-6 อาทิตย์ ทันตแพทย์จะประเมินผลดูว่า ผู้ป่วยหายจากโรคปริทันต์หรือไม่ โดยดูลักษณะเหงือกว่า กลับสู่สภาพเดิมหรือยัง มีเลือดออกเวลาแปรงฟัน และเมื่อใช้เครื่องมือวัดร่องลึกปริทันต์ ว่าตื้นขึ้น หรือเข้าสู่ภาวะปกติหรือไม่ ถ้ายังมีความลึกของ ร่องลึกปริทันต์อยู่ ทันตแพทย์จะพิจารณาว่า ควรจะทำการผ่าตัดหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นกับ การร่วมมือของผู้ป่วย ในการทำความสะอาดด้วย แม้ว่าเหงือกจะกลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ถ้าผู้ป่วยละเลย ไม่ทำความสะอาด อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ก็สามารถที่จะกลับมาเป็นโรคปริทันต์ได้อีก<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ควรเริ่มขูดหินปูนตั้งแต่วัยใด</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> สามารถขูดหินปูนได้ทุกวัย แม้กระทั่งในวัยเด็กที่มีฟันน้ำนมขึ้นแล้วไปจนกระทั่งผู้สูงอายุ<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ระยะความถี่ห่างของการขูดหินปูนที่เหมาะสม</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> ในระยะแรกๆ หลังการขูดหินปูน ควรกลับมาให้ทันตแพทย์ ตรวจและทำความสะอาด ภายใน 2-3 เดือน จากนั้น ถ้าผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดได้ดี ไม่มีเหงือกอักเสบ หรือไม่มีร่องลึกปริทันต์ ทันตแพทย์จะนัดผู้ป่วย มาตรวจและขูดหินปูน ภายใน 5-6 เดือน โดยทุกครั้ง จะดูความร่วมมือของผู้ป่วย และอาจทบทวน วิธีการทำความสะอาด ฟันและเหงือกด้วย<br /> <img style="width: 255px; height: 155px;" alt="http://img94.imageshack.us/img94/7100/plague764889096490975.jpg" src="http://img94.imageshack.us/img94/7100/plague764889096490975.jpg" /><img style="width: 177px; height: 171px;" alt="http://img260.imageshack.us/img260/6482/calculus36500427.jpg" src="http://img260.imageshack.us/img260/6482/calculus36500427.jpg" /><br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : การขูดหินปูนบ่อยๆ จะมีผลกระทบต่อฟันหรือไม่</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> ใน บางครั้ง จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้บ้าง ภายหลังการขูดหินปูน และอาจมีการเจ็บเหงือกบ้างบางครั้ง แต่การดูแลรักษาความสะอาดที่ถูกต้อง จะทำให้อาการดังกล่าวหายไป<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ถ้าไม่ขูดหินปูนจะเกิดผลเสียอย่างไร</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> จะทำให้เกิดโรคปริทันต์ โดยท่านอาจมีอาการดังนี้<br /><br /><br />1.เลือดออกขณะแปรงฟัน<br />2.เหงือกบวมแดง<br />3.มีกลิ่นปาก<br />4.เหงือกร่น<br />5.มีหนองออกจากร่องเหงือก<br />6.ฟันโยก<br />7.ฟันเคลื่อนออกจากกัน<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกกับเลือดหยุดยาก สามารถขูดหินปูนได้หรือไม่</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ : </span> ผู้ป่วยที่มีเลือดหยุดยาก ควรจะมีการปรึกษาแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ปรึกษา และวางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ โดยอาจจะต้องหยุดยา ที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า หรือในกรณีที่มีเลือด ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด อาจต้องให้เลือด หรือสารทดแทนก่อนขูดหินปูน เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อน หรือเลือดไหลไม่หยุด<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : การป้องกันในการเกิดคราบหินปูน</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> ประกอบ ด้วยการทำความสะอาดฟัน นั้นคือ การแปรงฟันให้ถูกวิธี การทำความสะอาดซอกฟัน รวมทั้งการนวดเหงือก ซึ่งมีหลายวิธี เช่นการใช้เส้นใยขัดฟัน (flossing) ปุ่มนวดเหงือก (rubber tip) แปรงระหว่างซอกฟัน (proxmal brush) ผ้าก็อซ (gauze strip) ไม้กระตุ้นเหงือก การที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ตัวใด ขึ้นอยู่กับการพิจารณา และคำแนะนำของทันตแพทย์<br /> <br /><span style="font-weight: bold;">ถาม : ข้อแนะนำท้ายรายการ</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ตอบ :</span> ท่านสามารถป้องกันโรคฟันผุ และโรคปริทันต์ ได้โดยการกำจัดคราบจุลินทรีย์ ในช่องปากของท่าน โดยการ<br /><br />1.แปรง ฟันวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้บ้วนน้ำแรงๆ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร<br />2.ทำความสะอาดซอกฟัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง<br />3.หลีกเลี่ยงอาหารหวานๆ โดยเฉพาะระหว่างมื้อ<br />4.พบ ทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจสภาพเหงือกและฟัน เพื่อทำความสะอาดฟัน บริเวณที่เหลือ จากการทำความสะอาด และรับการรักษาระยะเริ่มแรก ก่อนที่ท่านจะต้องสูญเสียฟันของท่าน เนื่องจากโรคฟันผุและปริทันต์<br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;">ที่มา : ทพ. มหิศร วิเศษจัง</span></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-50793095615450297162009-10-13T11:01:00.000-07:002009-10-13T11:07:13.678-07:00วิธีแก้ปวดฟันด้วยวิธีธรรมชาติ<span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >อาการปวดฟัน (Toothaches</span><span style="font-family:arial;">) ส่วนใหญ่มีผลมาจากฟันผุ ซึ่งในระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเสียวฟัน ก่อนที่อาการปวดจะลามไปที่บริเวณใต้คางและศีรษะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกินของเย็น ของร้อน หรือของหวาน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปาก ปล่อยกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน และชอนไชเข้าไปจนถึงเนื้อเยื่อส่วนที่นิ่มภายใน ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก บวกกับในโพรงประสาทฟันมีเนื้อที่จำกัด จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวม</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">เมื่อเกิดอาการบวม จะทำให้เส้นประสาทถูกกด รวมทั้งเกิดการปิดกั้นช่องทางเปิดปลายรากฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก จึงไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงฟันได้ จนทำให้เกิดอาการปวดฟันที่รุนแรง และในที่สุดเนื้อฟันก็จะตาย เมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดก็จะหายไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหนองบริเวณปลายรากฟันอาการปวดอาจกลับมาอีก แต่ลักษณะการปวดจะเป็นแบบตื้อๆ และสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจนขึ้น</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">นอกจากนี้ อาการปวดฟันอาจเกิดจากวัสดุอุดฟันหลุดไป ฟันร้าวหรือแตกจนถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน การนอนกัดฟัน (bruxism) ปวดเนื่องจากมีฟันคุด และเหงือกอักเสบ (gingivitis) ซึ่งจะทำให้เหงือกร่น และรากฟันบางส่วนโผล่ขึ้นมา ส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟันและปวดฟันได้ แต่บางคนที่มีสุขภาพฟันดี ก็อาจมีความไวมากเป็นพิเศษ ต่อของร้อนหรือของเย็นได้</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >วิธีลดอาการปวดฟัน</span><br /><img style="width: 233px; height: 154px;" alt="http://img79.imageshack.us/img79/9570/howtoalleviateatoothach.jpg" src="http://img79.imageshack.us/img79/9570/howtoalleviateatoothach.jpg" /><img style="width: 122px; height: 153px;" alt="http://img394.imageshack.us/img394/6113/70481077050149.th.jpg" src="http://img394.imageshack.us/img394/6113/70481077050149.th.jpg" /><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="font-weight: bold;">ถ้าคุณอยากหายทรมานจากอาการปวดฟันแล้วล่ะก็ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆ ต่อไปนี้ดูสิ</span></span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1.</span><span style="font-family:arial;">เมื่อมีอาการปวดฟัน ให้ประคบด้านข้างของใบหน้าซีกที่ปวดฟันด้วยน้ำอุ่น</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">2.</span><span style="font-family:arial;">ใน กรณีที่อาการปวดฟันมีลักษณะปวดตุบๆ ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ ให้ประคบที่ด้านข้างของใบหน้าด้วยน้ำแข็งประมาณ 5-10 นาที ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ความเย็นจะช่วยลดทั้งอาการปวดและบวม</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">3.</span><span style="font-family:arial;">ถ้ามีอาการเสียวฟันง่าย ให้ใช้โซดาไฟ หรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันสูตรสำหรับแก้เสียวฟัน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">4.</span><span style="font-family:arial;">เมื่อ ต้องอยู่ในที่ที่อากาศเย็น หรือในช่วงฤดูหนาว สามารถป้องกันอาการเสียวฟัน หรืออาการปวดฟันจากอากาศเย็นได้ โดยปิดปากด้วยผ้าพันคอ </span><br /><br /><span style="font-family:arial;">5.</span><span style="font-family:arial;">เลี่ยง อาหารที่ร้อนจัด เย็นจัด และหวานจัด โดยเฉพาะชา กาแฟ และไอศกรีม เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการ งดอาหารที่แข็งจนต้องใช้วิธีกัดกิน เช่น แครอท แอปเปิ้ล ฝรั่ง ที่ยังไม่สุก เพราะการขบกัดฟันแรงๆ กับวัตถุแข็งๆ จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดฟัน และในกรณีที่อุดฟัน ควรหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้สารที่อุดฟันไว้ หลุดออกมาง่ายขึ้น</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >นวดกดจุด ลดอาการปวด </span><br /><br /><span style="font-family:arial;">หลายคนคงคุ้นเคยกับการนวดกดจุดตามร่างกาย ทั้งฝ่าเท้า ฝ่ามือ และศีรษะดีแล้วใช่ไหมคะ คราวนี้เราลองมานวดกดจุด เพื่อบรรเทาอาการปวดฟันกันดีกว่า</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1.</span><span style="font-family:arial;">นวดคลึงเบาๆ ที่แก้มบริเวณเหนือฟันที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">2.</span><span style="font-family:arial;">ใช้ น้ำแข็งก้อนเล็กๆ กดและถูบริเวณง่ามมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หรือใช้มืออีกข้างนวดบริเวณเดียวกันนี้ จะช่วยลดอาการปวดฟันได้ชั่วคราว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">3.</span><span style="font-family:arial;">สำหรับ คนที่ปวดบริเวณกรามล่าง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดบริเวณกระดูกขากรรไกรที่รองรับฟันล่าง ส่วนคนที่ปวดบริเวณกรามบน ให้วางนิ้วหัวแม่มือตรงบริเวณส่วนกลางของหู แล้วลากนิ้วไปทางด้านหน้า จนกระทั่งถึงรอยบุ๋มใต้กระดูกประมาณ 1 นิ้วบริเวณหน้าใบหู จากนั้นกดแรงๆ ประมาณ 10 นาที</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >สมุนไพรบรรเทาปวด</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">บางคนพึ่งยาสารพัดชนิด ทั้งกิน ทั้งทา แต่พอหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการปวดฟันก็กลับมาสำแดงเดชอีกครั้ง ลองมาสยบอาการปวด ด้วยฤทธิ์ยาทางธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้ดีกว่าค่ะ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;">ว่าน หางจระเข้ มีสรรพคุณในการทำลายเชื้อโรค และสลายพิษ (Neutralization) ของเชื้อโรค โดยหั่นว่านหางจระเข้เป็นชิ้นๆ ความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เหน็บไว้ที่ซอกฟัน ใช้ฟันขบให้อยู่บริเวณที่ปวด หรือใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ ป้ายตรงบริเวณที่ปวด จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราว</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> น้ำมัน ละหุ่ง ทาน้ำมันละหุ่งบริเวณแก้มข้างที่ปวดฟัน และใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ แล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ หรือแผ่นประคบบริเวณที่มีอาการปวด จากนั้นนอนพักอย่างน้อย 20 นาที น้ำมันละหุ่งมีสรรพคุณในการระงับปวดได้ดี โดยจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ที่ไปคั่งอยู่กับเชื้อจุลินทรีย์ ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อ หรือกับสารที่ทำให้เกิดอาการปวด เช่น ไซโตไคเนส (cytokines) ในกรณีที่ปวดรากฟัน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> น้ำมัน กานพลู มีสรรพคุณในการรักษาอาการปวดฟันได้ดีที่สุดชนิดหนึ่ง บางครั้งหมอฟันจะใช้น้ำมันกานพลูแทนยาที่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น Novocain โดยทาน้ำมันกานพลูบริเวณที่ปวดในช่องปากได้โดยตรง (หากน้ำมันกานพลูเข้มข้นเกินไป อาจทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำมันมะกอก) นอกจากนี้ อาจใช้วิธีอมกานพลูทั้งชิ้นไว้ในปากบริเวณที่ปวดก็ได้ จะทำให้รู้สึกชาอย่างรวดเร็ว และอยู่นานกว่า 90 นาที หรือนำดอกกานพลูมาทุบแช่น้ำเหล้าขาว แล้วใช้สำลีอุดฟันซี่ที่ปวด</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;">น้ำมันกระเทียม ใช้สำลีชุบน้ำมันกระเทียมทาบริเวณที่ปวดฟัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เหมือนกัน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> ดาวเรือง ใช้ดอกแห้งประมาณ 7-8 ดอก ต้มกับน้ำสะอาดในประมาณที่พอเหมาะ ดื่มเป็นน้ำสมุนไพรทั้งวัน เพื่อแก้อาการปวดฟัน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> ผัก บุ้งนา นำรากสดของผักบุ้งนาประมาณ 10 กรัม ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำส้มสายชู อมไว้ประมาณ 5 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> มะระ นำรากสดของมะระมาตำพอแหลก แล้วพอกฟันซี่ที่ปวด โดยใช้ลิ้นกดไว้สักครู่ใหญ่ๆ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">•</span><span style="font-family:arial;"> กุยช่าย ในกรณีที่ปวดฟันเพราะแมงกิน ฟัน ให้นำเมล็ดกุยช่ายมาคั่วให้เกรียมดำ จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำมันยางแล้วชุบสำลี ยัดในฟันที่เป็นรูโพรง ทิ้งไว้ 1 คืน จะสามารถฆ่าตัวแมงที่กินฟันได้</span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="font-style: italic;font-size:78%;" >ที่มา : </span></span><span style="font-style: italic;font-size:78%;" >นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 191 </span><!-- InstanceEndEditable -->Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-53559802571623030362009-10-13T00:12:00.000-07:002009-10-13T00:14:42.990-07:00หลักการ และแนวคิดในการเคลือบหลุม และร่องฟัน<span style="font-weight: bold;"></span><span style="font-weight: bold;">1. การเกิดโรคฟันผุและการป้องกันฟันผุด้วยการเคลือบหลุมร่องฟัน</span><br /><br />เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคฟันผุเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการสูญเสียแร่ธาตุ และการสะสมแร่ธาตุกลับคืนมาของฟัน ซึ่งกระบวนการดังกล่าว จะเกิดขึ้นทันทีที่ฟันขึ้นมาในช่องปาก เมื่อฟันมีการสูญเสียแร่ธาตุมากขึ้น จนถึงขั้นไม่สามารถกลับคืนเป็นผิวเคลือบฟันปกติได้อีก ก็จะปรากฏเป็นรอยฟันผ ุหรือโพรงฟันผุที่สามารถสังเกตพบได้ทางคลินิก จากการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ฟันผุจะพบมากที่สุด ในฟันกรามแท้ซี่แรกด้านบดเคี้ยว และจากผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ก็พบว่า สำหรับคนไทยนั้น เด็กไทยอายุ 12 ปี มีฟันผุที่ฟันกรามแท้ซี่ 1 และ 2 เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีรายงานการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า ฟันผุส่วนใหญ่ จะเกิดขึ้นที่หลุมและร่องฟัน ก่อนตำแหน่งอื่นๆ ดังนั้น ด้านบดเคี้ยว จึงเป็นตำแหน่งที่เกิดฟันผุได้มากที่สุด โดยฟันผุที่เกิดขึ้นที่ตำแหน่งดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของฟันผุทุกตำแหน่งในช่องปาก<br /><br />แม้ว่าในปัจจุบันแนวโน้มการเกิดโรค ฟันผุจะไม่รุนแรงเท่า 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น หากไม่ได้รับการควบคุมและป้องกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้น มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคฟันผุ ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยับยั้งโรคฟันผุ ในขั้นตอนการดำเนินของโรคแต่ละขั้น จึงยังเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น สำหรับการดำเนินงานทันตสาธารณสุขในปัจจุบัน มาตรการที่ได้รับการยืนยันว่า สามารถป้องกันการเกิดฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพมีหลายอย่าง อาทิ เช่น การเติมฟลูออไรด์ในน้ำประปา (water fluoridation) การใช้ฟลูออไรด์ทางคลินิกทั้งชนิดเจล (fluoride gel) และวาร์นิช (fluoride varnish) การใช้คลอเฮ็กซิดีน (chlorhexidine) การเคลือบหลุมร่องฟัน (sealant) และการให้คำปรึกษา เป็นต้น<br /><br />จากการที่ฟันผุส่วนใหญ่มักจะเกิด ขึ้น ที่บริเวณหลุมและร่องฟันก่อนตำแหน่งอื่น ทำให้การเคลือบหลุมร่องฟัน ได้รับการยอมรับว่า เป็นวิธีการป้องกันฟันผุที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลดี ในการป้องกันฟันผุโดยเฉพาะที่หลุมร่องฟัน ซึ่งในครั้งแรก การเคลือบหลุมร่องฟัน ได้พัฒนาขึ้นมาจากการพยายามใช้ zinc phosphate cement ฉาบบริเวณหลุมและร่องของฟัน นอกจากนี้ ยังมีความพยายามลบหลุมร่องฟัน ด้วยเครื่องมือ และสารเคมีชนิดต่างๆ (enameloplasty) รวมทั้งวิธีการอื่นๆ จนถึงปี ค.ศ.1955 Buonocore ได้นำเสนอการใช้เทคนิคการ bonding ขึ้นเป็นครั้งแรก จึงเป็นแนวทางให้เกิด การพัฒนาวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันชนิดเรซิน ขึ้นในที่สุด ทั้งนี้ การเคลือบหลุมและร่องฟัน เพื่อป้องกันโรคฟันผุด้านบดเคี้ยว สามารถทำได้ทั้งบนผิวฟันที่ยังไม่ผุ และฟันผุในระยะเริ่มต้น เป็นวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา ไม่ต้องใช้เครื่องมือมาก ไม่ต้องกรอตัดชิ้นส่วนของฟัน ไม่แพง และสามารถทำซ้ำได้ ซึ่งการเคลือบหลุมและร่องฟันเป็นวิธีการป้องกันวิธีหนึ่งที่ทันสมัย เป็นวิทยาศาสตร์ และรบกวนเนื้อฟันน้อยที่สุด (minimal invasive) ซึ่งควรนำมาใช้เป็นวิธีการป้องกันฟันผุ แทนการกำจัดรอยโรคโดยการทำลายเนื้อฟันออกไป ตามแนวคิดเดิม<br /><br />จากการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ พบว่าฟันที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟัน จะมีอัตราการเกิดฟันผุต่ำกว่าฟันที่ไม่ได้เคลือบถึง 71% โดยมีคำแนะนำที่สำคัญในการเคลือบหลุมร่องฟัน ได้แก่<br /><br /> 1. การเคลือบหลุมร่องฟันจะเป็น ประโยชน์ และมีประสิทธิภาพมาก หากดำเนินการด้วยความประณีต โดยบุคลากรที่มีความชำนาญ โดยเฉพาะในฟันที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ หรือเกิดฟันผุในระยะเริ่มแรกไปแล้ว<br /> 2. ฟันที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ และควรได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันนั้น สามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ รวมถึงในฟันน้ำนมด้วย<br /> 3. ขั้น ตอนการเคลือบวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันลงบนผิวฟันที่ดี จะเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก หากมีการทำความสะอาดในหลุมร่องฟันก่อนการเคลือบ ทั้งนี้ ในบางกรณีสามารถพิจารณากรอเปิดหลุมร่องฟัน ให้กว้างขึ้นก็ได้ แต่ต้องทำให้น้อยที่สุด<br /> 4. ควรศึกษาหาความรู้และติดตามการเปลี่ยนแปลง ของวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางวัสดุศาสตร์ใหม่ๆ ด้วย<br /><br /><span style="font-weight: bold;">2. การเคลือบหลุมร่องฟันด้วยวัสดุชนิดกลาสไอโอโนเมอร์</span><br /><br />จากแนวคิดที่เชื่อว่าการใช้วัสดุ ที่สามารถให้ฟลูออไรด์กับผิวฟันได้อย่างต่อเนื่อง น่าจะทำให้มีผลดีในการป้องกันฟันผุเพิ่มมากขึ้น จึงมีความพยายามนำเอาวัสดุที่ปลดปล่อยฟลูออไรด์ มาพัฒนาเป็นวัสดุเคลือบหลุมร่องฟัน เพราะนอกจากจะมีความสามารถสูงในการปลดปล่อยฟลูออไรด์ แล้ว ยังส่งผลในการป้องกันฟันผุโดยวิธีการเคลือบหลุมร่องฟันอีกด้วย และกลาสไอโอโนเมอร์ยังมีคุณลักษณะที่เหมาะสมอื่นๆ อีกหลายประการ เช่น สามารถยึดติดกับผิวฟันด้วยพันธะเคมี ช่วยลดการเตรียมฟันโดยการกรอตัดเนื้อฟัน เข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของโพรงประสาทฟัน สัมประสิทธิ์การขยายตัวเมื่อได้รับความร้อนมีค่าต่ำกว่าเนื้อฟันเพียงเล็ก น้อย เป็นต้น<br /><br />จากคุณสมบัติของวัสดุชนิดกลาสไอโอ โนเมอร์ดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาผลิต เป็นวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันแล้ว พบว่า ยังมีคุณสมบัติทางกายภาพบางประการ ที่ไม่ทัดเทียมกับวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันชนิดเรซิน ซึ่งเป็นวัสดุใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้ให้ความสนใจศึกษาคุณลักษณะ และข้อดีข้อเสียของวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันชนิดนี้เป็นจำนวนมาก แม้ว่าหลายการศึกษาจะพบว่าอัตราการยึดติด (retention rate) ของการเคลือบหลุมร่องฟัน ด้วยกลาสไอโอโนเมอร์จะต่ำกว่าชนิดเรซิน แต่ก็มีการศึกษาที่พบ ข้อดีที่เกิดขึ้นจากคุณสมบัติ การปลดปล่อยฟลูออไรด์ เช่น<br /><br /> * พบว่า อัตราการป้องกันฟันผุของการเคลือบหลุมร่องฟัน ด้วยกลาสไอโอโนเมอร์มีค่าเป็นที่น่าพอใจ แม้วัสดุนั้นจะหลุดออกไปจากผิวฟันแล้วก็ตาม<br /> * พบว่า การเคลือบหลุมร่องฟันด้วยกลาสไอโอโนเมอร์ ยังสามารถป้องกันการเกิดฟันผุของเคลือบฟัน ในส่วนที่ติดกับวัสดุ แม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะไม่ได้รับการเคลือบด้วยวัสดุ<br /><br />จากการประชุมวิชาการ International Association for Dental Research (IADR) ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อปี ค.ศ.1996 มีผลการสัมมนาสำคัญ ที่เกี่ยวกับการเคลือบหลุมร่องฟันด้วย กลาสไอโอโนเมอร์ ที่ชี้ให้เห็นหลักฐานทางวิชาการในปัจจุบันว่า แม้การเคลือบหลุมร่องฟันด้วย กลาสไอโอโนเมอร์ จะยังมีความสามารถในการยึดติดกับผิวฟันต่ำกว่าการเคลือบหลุมร่องฟันด้วยเรซิ นก็ตาม แต่ก็มีประโยชน์ในการป้องกันฟันผุได้ดีกว่า นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาอีกมาก ที่สนับสนุนว่า ไม่ว่า retention rate ของการเคลือบหลุมร่องฟันด้วยกลาสไอโอโนเมอร์จะมีค่าต่ำกว่าเพียงใด แต่ความสามารถในการป้องกันฟันผุของวัสดุทั้งสองชนิด ยังไม่สามารถกล่าวอ้างว่า วัสดุชนิดใดมีความสามารถเหนือกว่าวัสดุอีกชนิดหนึ่งอย่างชัดเจน<br /><br />ในปัจจุบัน นอกจากวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ที่นำมาผลิตเป็นสารเคลือบหลุมร่องฟันโดยตรง เช่น Fuji III, Fuji III LC แล้ว ยังมีวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการบูรณะฟันแบบอื่นๆ ในท้องตลาดอีกหลายชนิด ที่สำคัญคือวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์สำหรับการบูรณะฟันผุแบบ Atraumatic Restorative Treatment (ART) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ แตกต่างไปจากวัสดุที่นำมาเคลือบหลุมร่องฟันเล็กน้อย และมีผู้นำเอาวัสดุดังกล่าว มาประยุกต์ใช้เป็นวัสดุเคลือบหลุม-ร่องฟันแทน ซึ่งพบว่าผลการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ นอกเหนือจากผลการป้องกันฟันผุที่ได้แล้ว เนื่องจากวัสดุดังกล่าวผลิตมา เพื่อใช้ในหน่วยเคลื่อนที่ หรือในสถานการณ์ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางทันตกรรม โดยพัฒนาให้สามารถใช้อุดฟันได้ ด้วยแรงกดจากนิ้วมือของทันตแพทย์ จึงทำให้สามารถนำวัสดุดังกล่าว มาปรับใช้เป็นวัสดุเคลือบหลุมร่องฟันได้สะดวกขึ้น นอกจากการนำวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ ที่ใช้สำหรับงาน ART มาเคลือบหลุมร่องฟันแล้ว ยังมีนักวิจัยอีกหลายคนที่นำเอากลาสไอโอโนเมอร์ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นวัสดุสำหรับการบูรณะฟันชนิดอื่นๆ เช่น Ketac Molar, Vitremer ฯลฯ มาทดลองใช้เป็นวัสดุเคลือบหลุมร่องฟัน ซึ่งในหลายการศึกษาก็พบว่า ให้ผลในการป้องกันฟันผุเป็นที่น่าพอใจด้วยเช่นเดียวกัน<br /><br />ดังนั้น ในการเลือกใช้วัสดุกลาสไอโอโนเมอร์เพื่อเคลือบหลุมร่องฟัน ทันตบุคลากร จึงควรจะได้ศึกษาให้เข้าใจคุณสมบัติทางวัสดุศาสตร์ ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อบ่งใช้ และเทคนิคการใช้อื่นๆ ของวัสดุชนิดนี้ เพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการป้องกันฟันผุที่น่าพึงพอใจต่อไป<br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;">ที่มา : http://dental.anamai.moph.go.th</span></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-80005736632546720632009-10-13T00:00:00.000-07:002009-10-13T00:04:46.251-07:00สธ.ชวน ปชช.ทำ “รากฟันเทียมฟรีใน 85 โรงพยาบาล” 21 ต.ค.นี้<span style="font-family:arial;">เชิญชวน ประชาชนทั่วไป และผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียมทั้งปากแล้วมีปัญหา เช่นหลวมหลุดง่าย เข้ารับบริการตรวจสุขภาพช่องปากและทำรากฟันเทียมฟรี เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ วันที่ 21 ตุลาคม ทุกปี แจ้งลงทะเบียนได้ที่โรงพยาบาล 85 แห่งที่ร่วมโครงการหรือที่สถาบันทันตกรรม จ.นนทบุรี ชี้ผลสำรวจล่าสุดในปี 2550 พบผู้สูงอายุเหลือฟันเคี้ยวอาหารได้เพียงคนละ 3 คู่ มีประมาณ 6 แสนคนที่เหลือแต่เหงือกล้วน</span><br /> <br /><span style="font-family:arial;"> วันนี้ (12 ต.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ และทันตแพทย์สมชัย ชัยศุภมงคลลาภ ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม ร่วมกันแถลงข่าว “การจัดบริการทันตกรรม เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ”</span><br /> <img style="width: 192px; height: 195px;" alt="http://img26.imageshack.us/img26/6645/subperiostealimplant732.jpg" src="http://img26.imageshack.us/img26/6645/subperiostealimplant732.jpg" /><img style="width: 185px; height: 177px;" alt="http://img383.imageshack.us/img383/7310/kirklanddentistimplantf.jpg" src="http://img383.imageshack.us/img383/7310/kirklanddentistimplantf.jpg" /><br /><span style="font-family:arial;"> นายวิทยา กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่า พระมารดาแห่งการทันตสาธารณสุขไทย ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และคณทันตแพทยศาสตร์ 6 มหาวิทยาลัย จัดโครงการตรวจสุขภาพช่องปากแก่ประชาชนทั่วไป และบริการฝังรากฟันเทียมฟรี แก่ผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ในโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งดำเนินการระหว่าง พ.ศ.2551-2554 เป้าหมาย 10,000 ราย ซึ่งหลังใส่แล้วมีปัญหาเช่นฟันหลวม หลุดง่าย ใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ การฝังรากฟันเทียมนี้ จะช่วยยึดฟันเทียมให้แน่นช่วยในการเคี้ยวบดอาหารได้ดีขึ้น</span><br /> <br /><span style="font-family:arial;"> ด้าน นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า บริการฝังรากฟันเทียมฟรีจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 21 ตุลาคม 2552 ประชาชนและผู้สูงอายุสามารถแจ้งลงทะเบียนได้ที่โรงพยาบาลทั้งหมด 85 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลประจำจังหวัดสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 76 แห่งทั่วประเทศ รพ.ศิริราช รพ.ตำรวจ รพ.จุฬาลงกรณ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ หรือสมัครที่สถาบันทันตกรรม ใกล้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.02-5884005-8 ต่อ 103 รับไม่จำกัดจำนวน</span><br /> <br /><span style="font-family:arial;"> ด้านนพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผลการสำรวจสุขภาพช่องปากระดับประเทศครั้งล่าสุดในปี 2550 พบคนไทยกว่าร้อยละ 50 มีปัญหาฟันผุ โดยในกลุ่มของคนวัยทำงานคืออายุ 35-44 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เหลือฟันไม่ครบปาก คือ ครบ 32 ซี่ โดยวัยทำงานร้อยละ 83 มีฟันเฉลี่ย 28 ซี่ ส่วนผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยสูญเสียฟันมากกว่าคนละ 10 ซี่ และมีผู้สูงอายุร้อยละ 10 หรือประมาณ 6 แสนคน ไม่มีฟันเหลืออยู่เลย พบในภาคกลางมากที่สุด ส่วนในด้านการเคี้ยวอาหาร พบผู้สูงอายุมีฟันที่เคี้ยวอาหารได้เพียงคนละ 3 คู่ และหากอายุ 80 ปีขึ้นไป จะลดลงเหลือคนละ 1 คู่เท่านั้น</span><br /> <img style="width: 321px; height: 296px;" alt="http://img26.imageshack.us/img26/4235/implants274642817466038.jpg" src="http://img26.imageshack.us/img26/4235/implants274642817466038.jpg" /><br /><span style="font-family:arial;"> การฝังรากฟันเทียม เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ผ่านมาประชาชนเข้าถึงบริการนี้น้อย เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงถึงรากละ 50,000-120,000 บาท เพราะต้องนำเข้ารากฟันเทียมจากต่างประเทศ มูลค่าการนำเข้า ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการรากฟันเทียมที่ใช้ในโครงการนี้ ผลิตโดยศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง (ADTEC) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ คุณภาพดีเทียบเท่ามาตรฐานยุโรป โดยจะใส่ให้คนละ 2 ราก</span><br /> <br /><span style="font-family:arial;"> ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้ารับการฝังรากฟันเทียม จะต้องไม่มีโรคประจำตัวที่สำคัญคือ โรคหัวใจ เบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้ควบคุม โดยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ใช้เวลาผ่าตัดนาน 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น จะทิ้งเวลาเพื่อให้กระดูกยึดเกาะที่รากฟันเทียม ใช้เวลา 4 เดือน จากนั้นจึงจะทำการยึดฟันปลอมลงบนรากฟันเทียมอีกชั้นหนึ่ง</span><br /><br /><span style="font-style: italic; font-weight: bold;font-size:78%;" >ที่มา : </span><span style="font-style: italic;font-size:78%;" >ASTV MANAGER</span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-12429527400843678882009-10-09T06:45:00.000-07:002009-10-09T06:52:38.853-07:00เตือน ทำฟันขาว-ขัดฟันขาว ระวังเสียวฟัน - ครีมทำฟันขาวอาจทำลายฟัน<span style="font-size:100%;"><br /><span style="font-family:arial;">อ.ดร.ชีรีน เอส.เอเซอร์ และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเทท สหรัฐฯ ทำการศึกษาตัวอย่างฟัน 50 ซี่ สุ่มแบ่งทดลองใช้ครีมทำฟันขาวชนิดต่างๆ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ผลการศึกษาพบว่า ครีมและยาสีฟันชนิดทำให้ฟันขาว (bleaching) ทำให้เคลือบฟันชั้นนอกบาง หรือสึกลงได้เล็กน้อย</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ขนาดของการสึกกร่อนอยู่ในระดับนาโนเมตร = 1 ในล้านมิลลิเมตร</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">นอกจากนั้นครีมทำฟันขาวยังทำให้ความ ยืดหยุ่น (elasticity) ของฟันตกลงไป ทำให้เคลือบฟันแตกหรือเปราะง่าย เปรียบคล้ายน้ำแข็งที่เปราะกว่ายางลบ</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >ข่าวดีคือ</span><span style="font-family:arial;"> การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ช่วยซ่อมแซมปัญหาฟันสึกได้เป็นส่วนใหญ่</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >วิธีหลีกเลี่ยงปัญหาฟันสึก ซึ่งทำให้มีอาการเสียวฟันและฟันผุได้ง่ายได้แก่ Mayoclinic , Toothclub.hk</span><br /></span><img alt="http://img57.imageshack.us/img57/9905/teethnwhitener614504561.jpg" src="http://img57.imageshack.us/img57/9905/teethnwhitener614504561.jpg" /><br /><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;"> 1. หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม (ไม่ดื่มเลยเป็นดีที่สุด)</span><br /><span style="font-family:arial;"> 2. ถ้าดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ เครื่องดื่มให้กำลังงาน (เปรี้ยวจัด+หวานจัด)... ควรกลืนลงไปทันที แล้วบ้วนปากหลายๆ ครั้งทันที อย่าอมหรือจิบทีละน้อย เนื่องจากโอกาสฟันสึกแปรตามระยะเวลาสัมผัสกับ</span><br /><span style="font-family:arial;"> 3. หลังกินยาน้ำ (ยาน้ำส่วนใหญ่แต่งรสด้วยกรดอ่อนและน้ำตาล) โดยเฉพาะยาลดกรด (เป็นด่าง)... ให้บ้วนปากหลายๆ ครั้งทันที </span><br /><span style="font-family:arial;"> 4. หลังกินผลไม้ อาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น ยำ สลัดบางชนิด ฯลฯ หรือดื่มเครื่องดื่ม-ยา (ตามข้อ 1-3) ไม่ควรแปรงฟันทันที... ให้บ้วนปากหลายๆ ครั้ง แล้วรอ 30-60 นาที เนื่องจากการสัมผัสกรดหรือด่างจะทำให้เคลือบฟันอ่อนลงไประยะหนึ่ง</span><br /><span style="font-family:arial;"> 5. ฝึกแปรงฟันให้ถูกวิธี</span><br /><span style="font-family:arial;"> 6. แปรงฟันด้วยแปรงขนอ่อน (soft) หรืออ่อนมาก (extrasoft)... 2-3 ครั้ง/วัน แปรงมากกว่านี้เพิ่มเสี่ยงฟันสึก</span><br /><span style="font-family:arial;"> 7. แปรงฟันเบาๆ... แปรงแรงๆ เพิ่มเสี่ยงฟันสึก</span><br /><span style="font-family:arial;"> 8. ฝึกใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งเป็นวิธีช่วยลดคราบจุลินทรีย์ได้ดีมาก โดยเฉพาะผิวฟันที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึงมีมากถึง 30-40% ของพื้นที่ฟันทั้งหมด และใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง</span><br /><span style="font-family:arial;"> 9. แปรงลิ้นวันละครั้ง เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคในช่องปาก</span><br /><span style="font-family:arial;"> 10. ดื่มน้ำให้มากพอทุกวัน... การดื่มน้ำน้อยจะทำให้ปริมาณน้ำลายลดลง ความเข้มข้นน้ำลายเพิ่มขึ้น เชื้อโรคในช่องปากมากขึ้น (น้ำลายทำหน้าที่ชำระล้างช่องปากแล้วกลืนลงไป เปรียบคล้ายน้ำชำระล้างไปในตัว)</span><br /><span style="font-family:arial;"> 11. บ้วนปากหลังกินอาหารและดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำและน้ำชาทันที ถ้าไม่มีโอกาสบ้วนปาก... การกลืนน้ำเปล่าตามช่วยได้เช่นกัน</span><br /><span style="font-family:arial;"> 12. ตรวจช่องปากกับหมอฟันทุกๆ 6-12 เดือน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ<br /><br />ที่มา </span></span><a href="http://health2u.exteen.com/20090423/entry-8"><span>บล็อก นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์<br /><br /></span></a><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;"><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" >บทความที่แนะนำ</span></span></span><a href="http://health2u.exteen.com/20090423/entry-8"><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;"><br /></span></span></a><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/tooth-whitening.html">1.ฟอกสีฟันขาว -Tooth Whitening</a><br /><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/1-in-office-bleaching-2.html">2. In-office bleaching (การฟอกสีฟันในคลินิก)</a><br /><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/2-home-bleaching.html">3. Home Bleaching (การกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน)</a><a href="http://health2u.exteen.com/20090423/entry-8"><br /></a>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-27094202433676552432009-10-09T06:34:00.000-07:002009-10-13T00:07:10.206-07:00การทำฟันขาว มีค่าใช้จ่ายประมาณ?<span style="font-size:100%;"><span style="font-weight: bold;font-family:arial;font-size:130%;" >ผู้ถาม คุณสุวรรณา/หนองคาย</span><br /><br /><span style="font-style: italic; font-weight: bold;font-family:arial;" >ดิฉันมีฟันสีเหลืองที่ผิดปกติอยู่ซี่หนึ่ง อยากทราบว่าพอจะมีวิธีใดบ้างที่จะรักษาให้หายเป็นปกติ และค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ดิฉัน มีปัญหา คือ ฟันด้านหน้าซี่เดียวด้านขวา (ของตัวเอง) มีสีเหลืองกว่าฟันซี่อื่นๆ ดิฉันอายุ ๓๕ ปี ไม่มีปัญหาเรื่องฟัน ไม่เคยถอนฟันเพราะฟันผุหรืออย่างอื่นใด ฟันครบ ๓๒ ซี่ ดีทุกอย่าง มีคนบอกว่า ฟันสีเหลืองของดิฉันเป็นฟันตาย (ถูกกระทบกระแทก) หรือบางทีเกิดจากกินยาแก้อักเสบมากไป ดันก็ไม่แน่ใจตัวเอง เพราะฟันเหลืองมาได้ประมาณกว่า ๑๐ ปีแล้ว จึงขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ค่ะ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. มีวิธีที่จะทำอย่างไรให้ฟันซี่นั้นขาวเป็นปกติ และค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร</span><br /><span style="font-family:arial;">2. สมควรหรือเปล่าที่จะทำให้ขาว และจะมีผลข้างเคียงหรือไม่</span><br /><span style="font-family:arial;">3. ทำแล้วจะต้องทำเรื่อยๆ หรือเปล่า หรือมีการทำแบบถาวรหรือไม่</span><br /><span style="font-family:arial;">4. ควรจะไปทำที่ไหนถึงจะมั่นใจว่ามีความปลอดภัยที่สุด</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;font-size:130%;" >ผู้ตอบ ท.พ.ไพฑูรย์ สุริยะวงศ์ไพศาล</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">ฟัน ของคุณที่เหลืองผิดปกติกว่าซี่อื่นมา ๑๐ ปีแล้ว คงจะไม่ได้เกิดจากการกินยาผิด เนื่องจากเป็นแค่ซี่เดียว จึงน่าจะเกิดจากการกระทบกระแทกหรือการอุดฟันที่ผิดวิธีทำให้ฟันตาย ควรไปพบทันตแพทย์ที่คุณหรือเพื่อนคุณรู้จักดี แล้วขอให้หมอตรวจก่อน อาจต้องเอกซเรย์ดูว่าปลายรากฟันมีความผิดปกติหรือไม่ (มักจะพบว่ามีความผิดปกติ) ถ้ามีก็ต้องแก้ไขก่อน แล้วจึงมาแก้สีให้ขาว ซึ่งทำได้ 2 วิธี</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. <a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/tooth-whitening.html">การฟอกสีฟัน </a>ถ้าสีไม่เข้มจนออกเทาหรือดำก็จะได้ผลดี แต่อาจต้องทำซ้ำใน 3-4 ปี</span><br /><span style="font-family:arial;">2. การครอบฟันด้วยพอสเลน (กระเบื้อง) จะได้ผลถาวร แต่ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่า รายละเอียดของแต่ละวิธี คุณสามารถปรึกษากับหมอที่ให้การรักษาได้<br /><br /><span style="font-size:78%;"><span style="font-style: italic;">ที่มา http://www.doctor.or.th/node/2881</span></span><br /><span style="font-weight: bold;font-size:130%;" ><br />บทความที่แนะนำ</span></span></span><span style="font-size:100%;"><span style="font-family:arial;"><br /></span></span><a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/tooth-whitening.html">1.ฟอกสีฟันขาว -Tooth Whitening</a><br /> <a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/1-in-office-bleaching-2.html">2. In-office bleaching (การฟอกสีฟันในคลินิก)</a><br /> <a href="http://judfun.blogspot.com/2009/08/2-home-bleaching.html">3. Home Bleaching (การกลับไปฟอกสีฟันเองที่บ้าน)</a>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-86047590391614624732009-10-08T08:47:00.000-07:002009-10-08T08:51:53.092-07:00เรื่องกล้วยๆ กับเต้าทึงเย็นแสนอร่อย<span style="font-weight: bold;font-family:arial;font-size:130%;" >เต้าทึงเย็นๆๆๆ จ้า..</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">อากาศร้อนจังเลย มาหาอะไรหวานๆเย็น ทานดับร้อนกันดีกว่า</span><br /><span style="font-family:arial;"> อากาศร้อนๆ ทำให้เรานึกถึงของอร่อยๆ เย็นชุ่มฉ่ำ</span><br /><span style="font-family:arial;"> อย่างเต้าทึงเย็นไงล่ะ ทานได้ ทานดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย </span><br /><span style="font-family:arial;"> ทำ ได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะค่ะ (ก็แค่คิดว่ามันไม่ยาก ... ก็สำเร็จไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ..... กำลังใจต้องมาก่อน .... คิดถึงหน้าคนที่เราตั้งใจทำไปฝากเข้าไว้ หรือคิดถึงหน้าของสมาชิกในครอบครัวเข้าไว้)</span><br /><img style="width: 486px; height: 381px;" alt="http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2006/11/D4904716/D4904716-13.jpg" src="http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2006/11/D4904716/D4904716-13.jpg" /><br /><span style=";font-family:arial;font-size:130%;" ><span style="font-weight: bold;"><br />เครื่องปรุง/วิธีทำ :</span></span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. ถั่วแดงหลวง แช่น้ำไว้สัก 6 ชั่วโมง</span><br /><span style="font-family:arial;">2. เม็ดแปะก้วย ที่แกะสำเร็จรูปแล้ว (มีขายเป็นแพ็ค ประมาณ 70 บาท/แพ็ค) แช่น้ำไว้ให้อืดครึ่งชั่วโมงก็พอ</span><br /><span style="font-family:arial;">3. ลำใยแห้ง ล้างฝุ่นออกให้สะอาด แช่น้ำไว้ให้อืดสักครึ่งชั่วโมงนะคะ เวลาต้มจะนิ่ม</span><br /><span style="font-family:arial;">4. ถั่วทองซีก (ถั่วเขียวเลาะเปลีอกออกแล้ว) แช่น้ำไว้สัก 3 ชั่วโมง</span><br /><span style="font-family:arial;">5. กล้วยอบแห้ง (หั่นเป็นลูกเต๋า)</span><br /><span style="font-family:arial;">6. วุ้นสีขาว ขูดเป็นเส้นยาว หรือหั่นเป็นลูกเต๋า (นำวุ้นมาละลายน้ำตามสูตรหน้าซอง แล้วต้มให้เดือด/ ทิ้งไว้ให้เย็น</span><br /><span style="font-family:arial;">7. น้ำตาลทรายแดง + น้ำตาลกรวด</span><br /><span style="font-family:arial;">8. น้ำแข็งเกร็ด หรือน้ำแข็งหลอด</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >วิธีทำ :</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. นำถั่วแดง/ เม็ดแปะก้วย/ ถั่วทอง ไปนึ่งให้สุก นิ่ม พักไว้</span><br /><span style="font-family:arial;"> 2. ต้มลำใยแห้งกับน้ำตาลกรวด + น้ำตาลทรายแดง (น้ำ 1 ส่วน น้ำตาลกรวด 1/4 ส่วน และน้ำตาลทรายแดง 1/4 ส่วน</span><br /><span style="font-family:arial;">3. เตรียมวุ้นสีขาว ขูดเป็นเส้นยาว หรือหั่นเป็นลูกเต๋าพักไว้</span><br /><span style="font-family:arial;">4. หั่นกล้วยอบแห้ง เป็นลูกเต๋า พักไว้</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;font-family:arial;" >วิธีทาน :</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">1. ตักส่วนผสมทั้งหมดลงในถ้วยตามปริมาณที่ชอบ</span><br /><span style="font-family:arial;">2. ราดด้วยน้ำเชื่อมลำใย</span><br /><span style="font-family:arial;">3. เติมน้ำแข็งเกล็ดเท่าที่ใจต้องการ</span><br /><span style="font-family:arial;">4. รับประทานตามสะดวก </span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-13131841689759655962009-10-08T05:57:00.000-07:002009-10-08T06:06:47.285-07:00ใบแป๊ะก้วย ช่วยทำให้มีความจำที่ดีขึ้นหรือไม่? - เม็ดแปะก๊วย - ใบแปะก้วย - สรรพคุณแปะก๊วย - ประโยชน์แปะก๊วย - ต้นแปะก๊วย<span style="">ปัจจุบันมีการโฆษณาเกี่ยวกับใบแป๊ะก้วย (<a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Ginkgo_biloba">Ginkgo biloba</a>) ว่าช่วยป้องกันหรือรักษาโรคสมองเสื่อม จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ช่วยได้จริงหรือ เพราะหลายคนที่กิน ก็ไม่สามารถบอกได้ ว่าความจำดีขึ้นหรือไม่<br /><br /><a href="http://www.geocities.com/HotSprings/Bath/8143/alternative_ginkgo_biloba.html">ใบแป๊ะก้วย</a> (<a href="http://www.umm.edu/altmed/articles/ginkgo-biloba-000247.htm">Ginkgo biloba</a>) มีการขึ้นทะเบียนทั้งเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ และอาหาร ดังนี้<br /><br />ทะเบียนยาแผนปัจจุบัน มีขนาดความแรงของสารสกัดจากใบแป๊ะก้วย 40 mg. รับประทานวันละ 3 - 4 เม็ด โดยมีข้อบ่งใช้ คือ<br />โรคเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ<br />การไหลเวียนของเลือดส่วนขอบผิดปกติ รวมทั้งโรคของเลือดในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน<br />การไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังผิดปกติ<br />ทะเบียน ยาแผนโบราณ ขึ้นทะเบียนในลักษณะผสมกับสมุนไพรตัวอื่น ๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ยาแผนโบราณเหล่านี้ อนุญาตให้แสดงสรรพคุณ เป็นยาบำรุงร่างกายเท่านั้น<br />การขออนุญาตใช้ฉลากอาหาร อนุญาตเฉพาะที่มีขนาดรับประทานไม่เกิน วันละ 120 mg. โดยมากที่มาขออนุญาตจะมีขนาดของสารสกัด 50 mg. หากขออนุญาตเป็นอาหาร จะไม่อนุญาตให้มีการแสดงสรรพคุณ ในลักษณะที่เป็นยา<br />ใบแป๊ะก้วยที่ปลูก ต่างถิ่นกัน จะมีสารออกฤทธิ์ไม่เท่ากัน สารที่ได้จากการสกัด เป็นสาร Terpene lactone ซึ่งมีส่วนผสมของสารเคมี หลายชนิด เช่น<br /></span><img alt="http://img16.imageshack.us/img16/1231/0tpxtq41266702651399965.jpg" src="http://img16.imageshack.us/img16/1231/0tpxtq41266702651399965.jpg" /><br /><span style=""><br /><span style="font-weight: bold;">Flavoneglycosides</span><br /><span style="font-weight: bold;">Ginkgolide</span><br /><span style="font-weight: bold;">Bilobalide</span><br /><span style="font-weight: bold;">Proanthocyanides</span><br /><span style="font-weight: bold;">Carboxillic acid</span><br /><span style="font-weight: bold;">Catechines</span><br /><span style="font-weight: bold;">อื่น ๆ</span><br />สารลำดับที่ 1 - 3 หากอยู่ร่วมกัน จะมีผลทางการรักษา แต่หากแยกกัน พบว่าไม่มีผลในการรักษา<br /><br />สาร ละลายที่ใช้ในการสกัดใบแป๊ะก้วย ประกอบด้วยน้ำและสารละลายไขมัน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้สารลำดับที่ 1 - 3 จำนวนมาก ดังนั้น ผู้ผลิตจึงมีการศึกษาวิจัย เพื่อให้ได้สารละลายที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในท้องตลาด จึงมีความหลากหลายในด้านคุณภาพ<br /><br />สารสกัด <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Ginkgolide">Ginkgolide</a> นั้น พบว่ามีผลต้านการเกาะกันของเกร็ดเลือด ดังนั้น สารสกัดใบแป๊ะก้วย จึงห้ามใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (<a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Anticoagulants">anticoagulants</a>) และสารสกัดบางตัว มีผลต้านฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ ซึ่งเชื่อกันว่าสารอนุมูลิสระ เป็นต้นเหตุของความชรา และความเจ็บป่วย<br /><br />สารสกัด ใบแป๊ะก้วยที่ทำในรูปยา จะสกัดส่วนที่เป็นพิษ ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ คือ <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Anacardic_acid">anacardic acid</a> และ <a href="http://www.smart-publications.com/memory/ginkgolic_acid.php">ginkolic acid</a> ให้ต่ำกว่า 5 ppm. ดังนั้น สารสำคัญใบแป๊ะก้วยในรูปยา จึงมักใช้สัญญลักษณ์ EGb 761<br /><br />จากการ ศึกษาทางคลินิก และจากรายงานการใช้ยานี้ พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนมาก มีอาการอันไม่พึงประสงค์ เช่น อาการปั่นป่วนในทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ มึนงง มีความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด ผื่นแพ้ ง่วงซึม ความผิดปกติของระบบประสาท และการนอนหลับผิดปกติ<br /><br />สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ที่มีการกล่าวอ้าง เช่น รักษาโรคความจำเสื่อม สมองฝ่อ และการใช้ใบแป๊ะก้วย ในลักษณะเป็นใบแห้งใช้ชงกินแบบชา เพื่อช่วยในเรื่องการบำรุงสมอง บำรุงความจำ หรือช่วยป้องกันสมองเสื่อม นั้น ยังไม่มีข้อมูลมายืนยัน<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ที่มา </span>http://www.bloggang.com/viewprofile.php?id=marquez&action=viewprofile<br /></span>Unknownnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3843660122969642971.post-16981843545953450892009-10-08T05:53:00.000-07:002009-10-08T06:05:33.437-07:00ประโยชน์ของใบแปะก๊วย...เม็ดแปะก๊วย - ใบแปะก้วย - สรรพคุณแปะก๊วย - ประโยชน์แปะก๊วย - ต้นแปะก๊วย<span style="font-weight: bold;">ทราบหรือไม่ว่า ใบแปะก๊วย มีประโยชน์หลากหลาย</span><br /><span style="font-weight: bold;">วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก...</span><br /><br />สารในใบแปะก๊วย มีคุณค่าในการรักษาโรคบางอย่าง โดยจะนำมาใช้ในการควบคุมการไหลเวียนของโลหิต และหลอดเลือด ให้เป็นปกติ ทั้งช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง มือ และเท้า<br /><br />นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการรักษาโรคหอบหืด หลอดลม อักเสบหรือตีบ โรคต้อหิน อาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน และภาวะหมดประจำเดือน<br /><br />ใบแปะก๊วยสกัดมีสารประกอบที่มีหน้าที่เสมือนตัวจับอนุมูลอิสระหรือเป็นแอนตี้ออกซิเดนท์ (Antioxidant) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ ช่วยบรรเทาโรคและลดภาวะต่าง ๆ ที่มักจะพบ ในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น โรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล โรคหลงลืมในผู้สูงอายุ หน้ามืดวิงเวียนและหูอื้อ สับสน มึนงง เหนื่อยล้า ปวดหัว เป็นต้น<br /><br />ใบแปะก๊วย สามารถหาซื้อได้ง่าย เพราะมีขายตามท้องตลาดในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะขายใบอบตากแห้ง หรือขายเป็นสารสกัดจากใบในรูปไฟโตโซม ( Phytosome) หรือชาแปะก๊วยที่ชงจากใบอบหรือตากแห้ง โดยมีสรรพคุณลดความเครียดและเพิ่มความแข็งแรงได้ด้วย<br /><img style="width: 159px; height: 196px;" alt="http://img207.imageshack.us/img207/818/ginkodraw65283036529855.jpg" src="http://img207.imageshack.us/img207/818/ginkodraw65283036529855.jpg" /><img style="width: 260px; height: 195px;" alt="http://img16.imageshack.us/img16/1231/0tpxtq41266702651399965.jpg" src="http://img16.imageshack.us/img16/1231/0tpxtq41266702651399965.jpg" /><br />ถ้าใครไม่อยากเครียดและไม่อยากขี้หลงขี้ลืม ก็ลองหาใบแปะก๊วยมาทานกัน.Unknownnoreply@blogger.com